คุณอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ส่อเค้าใกล้จะหมดสวยแล้วหรือเปล่า
- ราตรีนี้อีกยาวไกล ยิ่งดึกยิ่งตาสว่าง ทำยังไงก็หลับไม่ลงเสียที
- รู้ทั้งรู้ว่าต้องดื่มน้ำมากๆ แต่ไม่เคยดื่มได้ถึงวันละ 8 แก้วหรอกนะ
- เป็นสิงห์อมควันตัวฉกาจ
- สาวคอแข็ง ดื่มเท่าไรก็ไม่เมา
- นั่งอยู่ในตึกทั้งวันจะทาครีมกันแดดให้เปลืองไปทำไม
- สู้งานไม่หวั่น ให้บุกน้ำลุยไฟ ท้าแดดท้าลมก็ไม่สบายมาก
- สาวผู้ไม่ปล่อยวาง นักยึดติดทุกสิ่งอย่างไว้กับตัว
- สาวกมีทเลิฟเวอร์ ผู้ปฏิเสธผักและผลไม้ทุกชนิด
- ฝันถึงการออกกำลังกายเสมอ แต่ไม่เคยลงมือทำเสียที
- รู้นะว่าฟาสต์ฟู้ดไม่ดี แต่ไม่มีเวลากินอย่างอื่นนี่นาทำยังไงได้
100 วิธีสวยจากศีรษะจรดปลายเท้า
“ผม” ต้องแคร์
To do
- การหวีผมด้วยแปรงก่อนนอนทุกวัน วันละ 10 นาที ทำให้ผมเงางาม เพราะช่วยกระตุ้นให้เลือดมาเลี้ยงรากผมมากขึ้น
- ควรเช็ดผมให้หมาดก่อนดราย เพื่อป้องกันให้ผมร่วง แห้ง และแตกปลาย
- เลือกใช้แชมพูที่เป็นกลางจะมีค่า PH 7 ซึ่งเหมาะกับเส้นผมทุกชนิดถึงแม้จะสระผมบ่อยก็จะไม่ทำให้ผมแห้ง
- ไข่ นมพร่องมันเนย ถั่วเหลือง อุดมด้วยโปรตีนที่ช่วยกระตุ้นให้ผมยาวเร็วและเสริมความแข็งแรงให้เส้นผม
- ลูกพรุน และอาหารทะเล มีแร่ธาตุทองแดงซึ่งช่วยให้รากผมแข็งแรง
- กรดแพนโทเทนิคในผักสีเขียว เนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ ปลา ไข่แดง และธัญพืช ทำให้เส้นผมเจริญงอกงาม ชุ่มชื้นและรักษาเส้นผมให้นุ่มสลวยอย่างเป็นธรรมชาติ
- แครอทมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสุขภาพผมให้แข็งแรง
- น้ำมันงาและถั่วแดงช่วยบำรุงเส้นผมให้ดกดำเงางามและลดการเกิดผมหงอกได้
- สาหร่ายมีไอโอดีนทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม
- สูตรเปลี่ยนสีผมสีน้ำตาลธรรมชาติ สระผมให้สะอาดแล้วนำเบียร์สด (ชนิดไม่แช่เย็น) 1 ถ้วยตวง ผสมกับน้ำมะนาวคั้นสด 1/2 ถ้วยตวง ชโลมให้ทั่ว คลุมผมด้วยหมวกพลาสติกพักไว้ 1-2 ชั่วโมง ล้างด้วยน้ำสะอาด แล้วล้างน้ำสุดท้ายด้วยน้ำมะนาวคั้นสด 1 ผล เกลือทะเลบด 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำสะอาด 2 แก้ว ทำทุกวัน 1-2 สัปดาห์
- หมักผมด้วยกล้วยหอมบดกับน้ำมันมะกอกประมาณ 15 นาทีก่อนสระผมสัปดาห์ละครั้ง ช่วยให้ผมสลวยเป็นเงางาม
- ใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ หมักผมประมาณ 30 นาที ก่อนสระผม ช่วยให้ผมนุ่มสลวย ลดการแตกปลาย
To do
- การล้างหน้าบ่อยเกิน 2 ครั้งต่อวัน จะกระตุ้นให้เกิดสิวและผิวแห้ง
- การทาครีมกันแดดควรทาให้เคลือบทั่วไปหน้า แต่ไม่นวดให้ซึมเข้าสู่ผิว เพื่อให้ครีมกันแดดเป็นปราการด่านแรกที่กระทบกับแสงแดด
- ควรทดสอบคลีนซิ่งออยล์ก่อนซื้อทุกครั้ง ผลการสำรวจพบว่าคนไข้ 30 เปอร์เซ็นต์ที่มีอาการผดผื่นบนใบหน้า มีสาเหตุมาจากการอุดตันของคลีนซิ่งออยล์
- ใช้ทิชชู่ห่อน้ำแข็งถูให้ทั่วใบหน้า เน้นบริเวณทีโซน ประมาณ 2 นาที ทุกเช้าเย็น จะช่วยกระชับรูขุมขนบนใบหน้าได้
- การใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางนวดวนจากข้างจมูกขึ้นไปที่โหนกแก้มก่อนแต่งหน้าทุกครั้ง จะช่วยให้แก้มกระชับอยู่เสมอ
- ใช้น้ำมันทีทรี (Tea tree oil) แต้มสิว จะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
- ทาน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ช่วยลดการอักเสบของสิวได้ เพียงนำมาแต้มบริเวณหัวสิว
- น้ำผึ้งมีสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ ส่วนยางผึ้งมีฤทธิ์กำจัดแบคทีเรียและสมานผิว เมื่อนำมาแต้มรอยสิวที่ยังไม่แห้งจะช่วยให้สิวหายเร็วขึ้น
- ทาน้ำส้มสายชูช่วยรักษาผิวไหม้แดด เพราะเมื่อน้ำส้มสายชูระเหยจะนำความร้อนจากผิวไหม้แดดออกไป น้ำส้มสายชูยังมีสรรพคุณต้านการอักเสบและคันจากผิวไหม้แดดได้
- ใช้น้ำมะนาวทาบริเวณที่เป็นกระช่วยให้รอยกระจางลงได้
- วิตามินบี 5 จากจมูกข้าว ช่วยลดผื่นแดง ผื่นแพ้ และช่วยลดกระได้
- ข้าวกล้องมีเส้นใยช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายดี ส่งผลให้หน้าใสและไม่มีกลิ่นตัว
- แร่ธาตุสังกะสีซึ่งมีอยู่ในเมล็ดฟักทองช่วยรักษาผิวอักเสบและรอยคล้ำบนใบหน้า
- การดื่มน้ำแครอท 2-4 แก้วต่อวัน จะช่วยลดการเกิดสิวได้
- อาหารที่มีวิตามินบี 6 เช่น อะโวคาโด กล้วย ถั่วเมล็ดแห้ง มันฝรั่ง ช่วยปรับสมดุลของระดับฮอร์โมน และบรรเทาอาการอักเสบของสิวได้
- สำหรับคนที่เป็นสิวก่อนประจำเดือน ลองดื่มชาเชสเบอร์รี่ (Chaste berry) วันละ 1-2 ถ้วย เพื่อปรับสมดุลของฮอร์โมน ลดการเกิดสิว แต่ต้องดื่มติดต่อกันประมาณ 1-2 เดือน
- ผสมมะเขือเทศบด 1 ช้อนโต๊ะกับโยเกิร์ตและน้ำผึ้งอย่างละ 1 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก จะช่วยกระชับรูขุมขนให้เล็กลงได้
- นำอะโวคาโดมาปอกเปลือก สับ และทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที วิตามินอีในอะโวคาโดจะช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น
- ผสมโยเกิร์ตสูตรธรรมชาติกับน้ำมันงาบริสุทธิ์ พอกผิวหน้าไว้ประมาณ 10 นาที ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้นและลดริ้วรอยได้ดี
- ใช้หัวไชเท้าบด 1 ช้อนชา ผสมกับน้ำผึ้ง 1/2 ช้อนชา พอกทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ช่วยลดฝ้าและจุดด่างดำบนใบหน้าได้
To do
- การนวดวนขณะอาบน้ำเป็นประจำ ช่วยลดปัญหาเซลลูไลต์ได้
- บริหารต้นขาง่ายๆ ทุกเช้า โดยนอนตะแคงข้างแล้วยกขาขึ้นลง ข้างละ 15 ครั้ง จะช่วยลดไขมันและกระชับกล้ามเนื้อต้นขาได้
- หันมากินอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน เช่น ข้าวกล้อง เผือก ช่วยลดการสะสมของไขมันบริเวณเอวและสะโพกได้
- การรับประทานอาหารที่มีกรดไขมัน รวมทั้งน้ำมันปลา ถั่ว และธัญพืช ช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตได้
- สารแอลบูมินที่มีอยู่ในอาหารกลุ่มโปรตีนไขมันต่ำจำพวกถั่วช่วยลดระดับของเหลวที่สะสมอยู่ในเซลลูไลต์ได้
- หลีกเลี่ยงอาหารประเภทนม เนย น้ำตาลบริสุทธิ์ คาเฟอีน และอาหารมันๆ เพราะกระตุ้นให้เกิดการสะสมของเซลลูไลต์มากขึ้น
- นำส้มเขียวหวานปอกเปลือกและแกะเม็ด คลุกกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะและข้าวโอ๊ต 2 ช้อนโต๊ะ ขัดเบาๆ บริเวณที่มีเซลลูไลต์สัปดาห์ละ2 ครั้ง จะช่วยลดปริมาณเซลลูไลต์ได้
คอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine พฤษภาคม 2552
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น