วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

สารสกัดจากถั่วขาวกับการยับยั้งการย่อยคาร์โบไฮเดรต


สารสกัดจากถั่วขาวกับการยับยั้งการย่อยคาร์โบไฮเดรต
White Kidney Bean Extract & with Carbohydrate Blocking Action   ใน ยุคปัจจุบัน ผู้คนมากมายเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องรูปร่างและ น้ำหนัก หากกล่าวเฉพาะการลดการบริโภคอาหารแล้ว หลายคนเริ่มหันมาสนใจวิธีลดการรับประทานคาร์โบไฮเดรต หรือ “Low Carb” ซึ่ง เชื่อกันว่าส่งผลให้ลดน้ำหนักได้ดีกว่าการลดการรับประทานอาหารประเภท อื่นๆ คาร์โบไฮเดรตจัดเป็นกลุ่มอาหารหลักของเกือบทุกเชื้อชาติทั่วโลก ตัวอย่างอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่เรารู้จักกันดีในหมู่คนไทย คือ ข้าว แป้งน้ำตาล นอกจากนี้ยังมี ไกลโคเจน ใยอาหาร และซอร์บิทอล ก็จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตด้วยเช่นกัน คาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายของคนเราต้องการพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต 1,200 กิโลแคลอรี ซึ่งเท่ากับ 300 กรัม และถ้าเราบริโภคอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต มากเกินไปก็จะสะสมในรูปไขมันตามร่างกายทำให้น้ำหนักเกินและเกิดโรคอ้วนตามมา ได้

สารสกัดจากถั่วขาวยับยั้งการย่อยแป้งได้อย่างไร  สารสกัดจากถั่วขาว ช่วยยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ แอลฟา-อะไมเลส บริเวณลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งเป็นเอ็นไซม์ที่ช่วยย่อยแป้งให้เป็นโมเลกุลที่เล็กลง ส่งผลให้อาหารจำพวกแป้งและน้ำตาลที่เรารับประทานเข้าไปถูกดูดซึมนำไปใช้เป็น พลังงานเพียงบางส่วนเท่านั้น

      ใน ยุคปัจจุบัน ผู้คนมากมายเริ่มหันมาใส่ใจสุขภาพกันมากขึ้นโดยเฉพาะเรื่องรูปร่างและ น้ำหนัก หากกล่าวเฉพาะการลดการบริโภคอาหารแล้ว หลายคนเริ่มหันมาสนใจวิธีลดการรับประทานคาร์โบไฮเดรต หรือ “Low Carb” ซึ่ง เชื่อกันว่าส่งผลให้ลดน้ำหนักได้ดีกว่าการลดการรับประทานอาหารประเภท อื่นๆ คาร์โบไฮเดรตจัดเป็นกลุ่มอาหารหลักของเกือบทุกเชื้อชาติทั่วโลก ตัวอย่างอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่เรารู้จักกันดีในหมู่คนไทย คือ ข้าว แป้งน้ำตาล นอกจากนี้ยังมี ไกลโคเจน ใยอาหาร และซอร์บิทอล ก็จัดอยู่ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตด้วยเช่นกัน คาร์โบไฮเดรต 1 กรัมให้พลังงาน 4 กิโลแคลอรี โดยเฉลี่ยแล้วร่างกายของคนเราต้องการพลังงานจากคาร์โบไฮเดรต 1,200 กิโลแคลอรี ซึ่งเท่ากับ 300 กรัม และถ้าเราบริโภคอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรต มากเกินไปก็จะสะสมในรูปไขมันตามร่างกายทำให้น้ำหนักเกินและเกิดโรคอ้วนตามมา ได้

สารสกัดจากถั่วขาว (White Kidney Bean Extract)  ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Phaseolus vulgaris

สาระสำคัญ สารสกัดฟาเซโอลามิน (Phaseolamin Extract)
ในปี 1975 เริ่มมีการสกัดสารนี้จากถั่วแดงหลวง (kidney beans)
ใน ปี 1980 เริ่มมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารสกัดนี้ โดยกล่าวว่ามีคุณสมบัติเป็น starch blockers (ตัวบล็อคแป้ง) ใช้ในคนที่ต้องการควบคุม น้ำหนักและคนที่เป็นเบาหวาน

กลไกการทำงาน

ยับยั้งการทำงานของเอ็นไซม์ อะไมเลส (amylase) ทำหน้าที่ย่อยแป้งให้เป็นหน่วยที่เล็กลง ดังนั้นหากกลไกนี้ถูกยับยั้ง ก็จะไม่สามารถย่อยแป้งได้

คุณประโยชน์ของสารสกัดจากถั่วขาว (White Kidney Bean Extract)

             เป็นสูตรเฉพาะที่ยับยั้งการย่อยคาร์โบไฮเดรต 2 กลุ่ม คือน้ำตาลซูโครส และน้ำตาลที่อาจพบในผลไม้ และอาหารอื่นๆ แป้ง เช่น ขนมปัง ธัญพืช พาสต้า บะหมี่ ข้าว และ ผักบางชนิด (มันฝรั่งเผือก ถั่วลันเตา ข้าวโพด หรือถั่วเมล็ดแห้ง)

ยับยั้ง การทำงานของเอ็นไซม์ อัลฟา-อะมัยเลส และ อัลฟา-กลูโคซิเดส ซึ่งเป็นเอ็นไซม์หลักในการทำให้แป้งและ น้ำตาลแตกตัวเป็นโมเลกุลที่ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเป็นไขมันสะสมในร่างกายได้จำกัดการดูดซึมคาร์โบ ไฮเดรตป้องกันไม่ให้อินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากการ
รับ ประทานอาหารที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรต เพราะหากระดับอินซูลินในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว น้ำตาลในเลือดก็จะลดลงตาม ซึ่งอาจจะทำให้รู้สึกหิวมากขึ้น   ส่วน ผสมของสารสกัด นี้จะช่วยยับยั้งได้ทั้งแป้ง และน้ำตาล ในขณะที่ส่วนใหญ่ยับยั้งการดูดซึมคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้งเพียงอย่างเดียว ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานหรือแคลอรีน้อยลงช่วยเสริมในโปรแกรมการควบ คุมน้ำหนักพร้อมกับการออกกำลังกายช่วยควบคุมอาการอยากอาหารได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งท้าทายในผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

ผลการศึกษา และวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าสนใจ

  • ส่วน ผสมของสารสกัดฟาเซโอลามิน (Phaseolamin Extract) 500 มิลลิกรัม ร่วมกับ สารสกัดโทอูชิ (Touchi Extract) 300 มิลลิกรัม อาจยับยั้งได้ถึง 500 แคลอรีต่อหนึ่งมื้ออาหาร

งานวิจัยเบื้องต้นในผู้ที่รับประทานสารสกัด
ฟาเซโอลามิ 500 มิลลิกรัม ผสมกับ สารสกัดโทอูชิ 300 มิลลิกรัม ระยะเวลา 1 เดือน สามารถลดน้ำหนักได้ 5 ปอนด์

สารสกัด จากถั่วขาว 2 เม็ด สามารถลดการดูดซึมแป้ง เทียบเท่ากับข้าว มากกว่า 3 ถ้วย หรือ พาสต้า มากกว่า 0.45 กก.ลดได้สูงถึง 66% ของคาร์โบไฮเดรตที่รับประทาน หรือพลังงาน 2250 แคลอรี่ ของพลังงานจากแป้ง

2.27 กก.) และลดปริมาณไขมัน (fat) ในร่างกายได้ประมาณ 10%

ส่วน ผสมของสารสกัดฟาเซโอลามิน (Phaseolamin Extract) 500 มิลลิกรัม ร่วมกับ สารสกัดโทอูชิ (Touchi Extract) 300 มิลลิกรัม อาจยับยั้งได้ถึง 500 แคลอรีต่อหนึ่งมื้ออาหาร

งานวิจัยเบื้องต้นในผู้ที่รับประทานสารสกัด
ฟาเซโอลามิ 500 มิลลิกรัม ผสมกับ สารสกัดโทอูชิ 300 มิลลิกรัม ระยะเวลา 1 เดือน สามารถลดน้ำหนักได้ 5 ปอนด์

สารสกัด จากถั่วขาว 2 เม็ด สามารถลดการดูดซึมแป้ง เทียบเท่ากับข้าว มากกว่า 3 ถ้วย หรือ พาสต้า มากกว่า 0.45 กก.ลดได้สูงถึง 66% ของคาร์โบไฮเดรตที่รับประทาน หรือพลังงาน 2250 แคลอรี่ ของพลังงานจากแป้ง

2.27 กก.) และลดปริมาณไขมัน (fat) ในร่างกายได้ประมาณ 10%

วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

สมุนไพร ไขมัน และทางรอด

สมุนไพร ไขมัน และทางรอด
     พอเริ่มเป็นสาว ผู้หญิงทุกคนต่างมีปัญหาความงามร้อยแปดประการให้ต้องขบคิด แต่ที่รบกวนจิตใจและกินพื้นที่สมองมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นเรื่องความอ้วน เพราะเป็นตัวการบั่นทอนความงามอย่างร้ายกาจ(ตามค่านิยมของสาวยุคนี้)
     อีกทางเลือกหนึ่งของสาวเจ้าเนื้อ เพื่อลดน้ำหนัก     เรามาทำความรู้จักกับสมุนไพรเหล่านี้ให้มากกว่าที่เคยได้ยินจากโฆษณา เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกใช้กันดีกว่าค่ะ
     หัวบุก - หรือคอนยัค(konjak) เป็นพืชล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน สามารถเอามาทำอาหารได้สารพัด อุดมไปด้วย "กลูโคแมนแนน" ไม่ให้พลังงานและยังมีคุณสมบัติพองตัวในน้ำได้มากถึง 50 - 60 เท่า
     เชื่อว่าบุกสามารถลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลและน้ำตาลบางส่วนที่มีมากเกินความ ต้องการของร่างกายได้ ทั้งยังกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้เคลื่อนไหว ขับอุจาระที่ตกค้างและขจัดสารพิษหรือแก๊สออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
     แต่เห็นสรรพคุณดีเลิศขนาดนี้อย่าเพิ่งเชื่อสนิทใจค่ะ เพราะขณะเดียวกันก็มีการพิสูจน์วิจัยหลายชิ้นที่พบว่า กลูโคแมนแนนช่วยลดความอ้วนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเจ้าไฟเบอร์นี้สามารถพองตัวอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลาเพียงครึ่ง ชั่วโมง ชั่วเวลาสั้น ๆ นี้เองจึงทำให้คุณรู้สึกอิ่มและหนักท้องได้ไม่นานก็จะกลับมาหิวอีก
     การกินบุกโดยไม่กินอาหารอย่างอื่นเลยติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ นั้น อาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินและสารอาหารบางอย่าง โดยเฉพาะพวกที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี เค และแคโรทีนอยด์ประเภทเบต้าแคโรทีน  เพราะเมื่อกลูโคแมนแนนไปดูดซึมไขมันเอาไว้จึงไม่มีตัวทำละลาย ร่างกายก็จะดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ไปใช้ได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งสารสกัดจากบุกชนิดแคปซูลยังเป็นอันตรายอย่างมากด้วย เพราะหากแคปซูลเข้าไปติดอยู่ในทางเดินอาหาร มันก็จะพองตัวทำให้ทางเดินอาหารอุดตัน อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
      
     แมงลัก - เมล็ดแมงลักที่แช่น้ำจนพองตัวเต็มที่แล้วจะมีเมือกลื่น ๆ เกาะอยู่ ร่างกายไม่สามารถย่อยเมล็ดแมงลักได้ เมื่อกินเข้าไปทำให้รู้สึกอิ่ม ขับถ่ายออกมาอย่างรวดเร็วและบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี แต่ก็เช่นเดียวกับบุก เมล็ดแมงลักสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารของเราได้ไม่นาน ทำให้หิวได้อีกเรื่อย ๆ
     ถึงแม้ว่าเมล็ดแมงลักจะไม่ไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารของร่างกาย เป็นอาหารพลังงานต่ำจากธรรมชาติที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ถ้ากินเมล็ดแมงลักเพียงอย่างเดียวโดยไม่กินอาหารอย่างอื่นเลยก็มีสิทธิ์ เป็นโรคขาดสารอาหารได้ทั้ง ๆ ที่รูปร่างอ้วนท้วนนี่แหละ
     ควรกินเมล็ดแมงลักก่อนอาหารกลางวันหรือเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง อัตราส่วนในการกินคือ เมล็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ต่อน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง ต้องล้างเมล็ดแมงลักให้สะอาดเสียก่อนโดยเฉพาะฝุ่นละอองและเศษกิ่งไม้ใบไม้ แห้ง จากนั้นแช่เมล็ดแมงลักในน้ำประมาณ 10 - 15 นาที สังเกตว่าพองเต็มที่แล้วจึงจะกินได้ หลายคนผสมน้ำหวานลงไปด้วยเพื่อให้อร่อยและกินง่ายขึ้น แต่วิธีกลับเป็นการเพิ่มน้ำตาลให้ร่างกายโดยใช่เหตุ

 
     ส้มแขก - เป็นผลไม้ที่มีมากในแถบเอเชีย มีขนาดเท่ามังคุดแต่รูปร่างคล้ายฟักทอง คนภาคใต้ของเรารู้จักดีเพราะเอามาปรุงอาหารให้รสเปรี้ยวเข็ดฟัน ปรกติผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวแบบนี้จะมีกรดซิตริกเป็นองค์ประกอบ แต่ส้มแขกมีกรดซิตริกชนิดพิเศษกว่าผลไม้เปรี้ยวชนิดอื่น ชื่อว่าไฮดรอกซีซิตริก(HCA)ในปริมาณสูง
     เชื่อว่ากรดผลไม้ HCA ในส้มแขกสามารถยับยั้งการทำงานของเอมไซน์ซึ่งทำหน้าที่สังเคราะห์กรดไขมัน และคอเลสเตอรอล เมื่อเอมไซน์ตัวนี้ทำงานไม่ได้ ไขมันและคอเลสเตอรอลก็จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ยิ่งกว่านั้นยังลดระดับลงด้วย
      ยังไม่หมดเท่านั้น HCA ยังสามารถขัดขวางการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลกลูโคสให้เป็นไขมันสะสม บ้างก็เชื่ออีกว่าเมื่อกินสารสกัดจากผลส้มแขกเข้าไปจะทำให้ไม่รู้สึกหิว กินอาหารได้น้อยลง
      จากกิตติศัพท์ทั้งหมดนี้ ส้มแขกน่าจะเป็นสมุนไพรวิเศษที่ช่วยลดความอ้วนได้ แต่ผลการวิจัยบางตัวกลับออกมาว่า กลุ่มคนที่กินแป้งเปล่าสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่กินส้มแขกเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะ  HCA จะออกฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้มข้นสูงมาก ๆ จึงจะได้ผล ดังนั้นการนำผลส้มแขกมาทำอาหารหรือดื่มผลิตภัณฑ์น้ำส้มแขกแทนน้ำเปล่าไม่ สามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้แต่อย่างใด
    
     ไคโตซาน - ไม่เฉพาะพืชเท่านั้นที่มีเส้นใยอาหาร เปลือกของกุ้งและกระดองปูก็จัดเป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่ง ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ เมื่อนำเส้นใยเหล่านี้มาสกัดจะได้สารไคโตซาน(Chitosan)ซึ่งมีโครงสร้างที่ แข็งแกร่งและสามารถจับกับประจุลบได้ มันจึงมีคุณสมบัติคล้ายตาข่ายคอยดักจับโมเลกุลไขมันและคอเลสเตอรอลบางส่วน ไว้ ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นทั้งไคโตซาน ไขมัน และคอเลสเตอรอลก็ถูกขับออกมาพร้อมอุจจาระ โดยไม่ทิ้งพลังงานไว้ให้เลย
     หากเป็นดังที่ว่าจริงก็คงจะดีไม่น้อย แต่จากผลการวิจัยหลายชิ้นไม่ได้ออกมาสวยหรูอย่างนี้ การทดลองในผู้หญิงอ้วน 51 คน พบว่าอัตราการลดน้ำหนักของกลุ่มที่กินไคโตซานไม่มีความแตกต่างจากกลุ่มที่ กินยาหลอกเลย  แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการลดคอเลสเตอรอลพบว่าไคโตซานสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว(LDL) ได้
     ข้อควรระวังในการกินก็คือ ไคโตซานดูดซับไขมันไม่เลือกชนิด ดังนั้นไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิตามินที่ละลายตัวในไขมันอย่างวิตามินเอ ดี อี เค เบต้าแคโรทีน และแคลเซียมก็พลอยอันตรธานไปด้วย นอกจากนี้ไคโตซานยังละลายน้ำได้ค่อนข้างยาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะทำหน้าที่ดูดซับไขมันได้ ดังนั้นควรกินก่อนหรือหลังอาหารกลางวันหรือเย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมงเพื่อไม่ให้สารอาหารถูกไคโตซานดูดซับไปหมด ในปริมาณแนะนำ 1,000 - 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน และกินน้ำตามให้มาก ๆ เพราะต้องไม่ลืมว่าเส้นใยอาหารโดยทั่วไปรวมทั้งไคโตซาน สามารถพองตัวในน้ำได้หลายเท่า หากดื่มน้ำน้อยจะทำให้ท้องผูกหรืออึดอัด แน่นท้อง และอาจร้ายแรงถึงขั้นทางเดินอาหารอุดตันเลยทีเดียว

     มะขามแขก - แนวคิดในการลดความอ้วนอีกอย่างคือการถ่ายท้อง เมื่อกินอะไรเข้าไปก็เร่งถ่ายออกมาให้หมด ในเมื่อร่างกายไม่ทันได้ดูดซึมแป้งหรือไขมันก็จะไม่อ้วน
     มะขามแขกถูกนำมาใช้เพื่อการนี้เพราะมีสรรพคุณเป็นยาระบาย เนื่องจากมีจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารจะเข้าไปย่อยสลายสารเซนโนไซด์เอและบี จนแตกตัวเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งจะไปกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ ใหญ่ ทำให้รู้สึกปวดท้องอยากถ่าย แต่นับว่าอันตรายไม่ใช่เล่น เพราะคนมักเข้าใจผิดจึงโหมกินยาระบายวันละหลาย ๆ รอบ เมื่อเสียน้ำจากการถ่ายมาก ๆ ร่างกายก็จะทรุดโทรม อ่อนเปลี้ยเพลียแรง อาจถึงกับช๊อกจนเสียชีวิต และถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ลำไส้ใหญ่เคยชิน วันไหนไม่มีอะไรมากระตุ้นก็จะไม่ถ่ายเอาซะดื้อ ๆ            
     การกินสมุนไพรมะขามแขกในรูปชาชง ชนิดเม็ด หรือชนิดแคปซูลก็ดี ถ้ากินปริมาณพอเหมาะระหว่าง 10 - 60 มิลลิกรัม เพื่อช่วยแก้ปัญหาท้องผูกถือว่าไม่เป็นอันตรายอย่างใด แต่ที่ต้องทำความเข้าใจกันใหม่คือยาระบายเหล่านี้ไม่ช่วยให้ลดความอ้วนได้ เลย เพราะที่ถูกขับออกมานั้นเป็นกากอาหารและน้ำในร่างกายจึงทำให้น้ำหนักลดลง ส่วนไขมันเจ้าปัญหายังวนเวียนอยู่ในตัวเราไม่ได้ถูกระบายไปพร้อมกับของเสีย ด้วย
                           
     ที่น่ากลัวคือ คนที่กินยาสมุนไพรลดความอ้วนมักย่ามใจ คิดว่ามีบุกช่วยให้อิ่มท้อง มีไคโตซานไว้คอยจับไขมัน มีส้มแขกไว้สลายไขมัน และมะขามแขกช่วยถ่ายท้องแล้ว คงไม่ต้องออกกำลังกายให้เหนื่อยและกินอะไรก็ได้ที่อยากกิน... รับรองว่าถ้าคิดอย่างนี้ไม่มีทางหลุดจากวงจร yo - yo effect ได้แน่นอน 




คอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 3 ฉบับที่ : 29 เดือน : มิถุนายน 2546

"ดลจิต" ลดความอ้วน

"ดลจิต" ลดความอ้วน

"ดล จิต" เป็นวิธีการปรับเปลี่ยนหรือสร้างพฤติกรรมที่ดีในระดับของจิตใต้สำนึก (Subconscious Level or Unconscious Level) ที่คิดค้นขึ้นโดย ผศ.ดร.อุษณีย์ อนุรุทธ์วงศ์ อาจารย์ประจำภาควิชาศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ซึ่งแตกต่างกับการสะกดจิต เพราะจะใช้บรรยากาศสิ่งแวดล้อม คือ แสง สี เสียง และกลิ่น เข้ามาช่วยเหนี่ยวนำให้คนที่ถูกดลจิตเข้าสู่ภวังค์ได้เร็วขึ้น และในขณะที่มีคลื่นสมองระดับอัลฟา (Alpha) คือ สมองอยู่ในช่วงพักผ่อนหรือกำลังทำสมาธิ ซึ่งเป็นช่วงที่สามารถเกิดความคิดสร้างสรรค์หรือเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว นักดลจิตจะป้อนโค้ดคำสั่งพฤติกรรมที่เราต้องการ (My Code) เพื่อเข้าไปเปลี่ยนความคิดและพฤติกรรมที่ทำให้เสี่ยงต่อโรคอ้วน โดยจะต้องทำทั้งหมด 21 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที 3 วันแรกจะต้องทำติดต่อกัน 3 ครั้ง ส่วนที่เหลือนำกลับไปทำด้วยตนเองได้จนครบ 21 ครั้ง    นายแพทย์ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน จิตแพทย์กรมสุขภาพจิตและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้ความรู้เพิ่มเติมว่า "ในด้านจิตเวชศาสตร์จะมีวิธีการทำจิตบำบัดหลากหลายรูปแบบ และการดลจิตเป็นวิธีการหนึ่งที่นำมาใช้ เพื่อจัดการความคิดและพฤติกรรม ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ดี แต่ต้องระมัดระวังเรื่องการป้อนข้อมูลให้กับจิตใต้สำนึกด้วย คือ ต้องเลือกใช้คำที่ถูกต้องและปลอดภัยแก่ผู้รับการบำบัด ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการออกกำลังกายและเรียนรู้หลักโภชนาการร่วมด้วยจึงจะ สามารถลดน้ำหนักได้"
ดลจิตเหมาะกับใคร
   วิธีดลจิตถือเป็นจุดเริ่มต้นในการลดน้ำหนัก ใช้ร่วมกับการนับแคลอรี่ จัดอาหาร และการออกกำลังกาย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการจะดูแลรูปร่างตัวเอง แต่มีข้อเสียคือขาดวินัยและความมุ่งมั่นจนไม่อาจปรับเปลี่ยนนิสัยและ พฤติกรรมที่ทำให้อ้วนได้
   ก่อนเข้ารับการบำบัดคุณจะต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้องชัดเจนแก่นักดลจิตเพื่อนำ ไปสร้างโค้ดที่เหมาะสม โดยการทำแบบสอบถามเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่พบเป็นเรื่องพฤติกรรมการกิน เช่น ชอบกินอาหารประเภทไขมัน แป้ง หรือกินปริมาณมากเกินไป เมื่อเห็นปัญหาของแต่ละคนแล้ว นักดลจิตจะนำมาสร้างโค้ดเพื่อป้อนคำสั่งในการดลจิต โดยเลี่ยงคำว่า ไม่ อย่า ห้ามเพราะจิตใต้สำนึกจะต่อต้านคำสั่งดังกล่าว
   เมื่อจิตใต้สำนึกได้รับคำสั่งที่ถูกต้องและตอบสนองต่อคำสั่ง ผู้ที่ลดน้ำหนักจะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากภายในโดยไม่รู้สึกว่าถูก บังคับ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการสร้างนิสัยการกินที่ถูกต้อง การออกกำลังกาย ซึ่งจะช่วยลดความอ้วนได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ค่อนข้างถาวร และไม่มีผลข้างเคียง
   อย่างไรก็ตามการดลจิตลดความอ้วนมีข้อจำกัดอยู่ที่ การยอมรับและความเชื่อของตัวผู้รับการบำบัด หากมีอคติ ไม่เชื่อ หรือไม่มีความตั้งใจแน่วแน่ วิธีนี้ก็จะใช้ไม่ได้ผล
   ปัจจุบันนอกจากการดลจิตลดความอ้วนแล้ว ยังมีการสะกดจิตลดความอ้วน ซึ่งทำโดยกลุ่มนักจิตวิทยาหรือกลุ่มคนที่สนใจที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือชมรม ซึ่งต้องระมัดระวังอาจมีบุคคลที่ขาดจริยธรรมในวิชาชีพ ป้อนคำสั่งผิดในขณะที่เราไม่รู้ตัวจะทำให้เกิดอันตรายได้ ก่อนเข้ารับการบำบัดไม่ว่าวิธีใดก็ตาม ควรตรวจสอบว่านักจิตวิทยาคนนั้นได้รับใบประกอบวิชาชีพจากกระทรวงสาธารณสุข หรือไม่ และหาข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจอย่างรอบคอบ

คอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 8 ฉบับที่ : 85 เดือน : กุมภาพันธ์ 2551

วันอังคารที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2556

โปรเจ็คสวย ลดน้ำหนัก หุ่นดี ไม่มีเสีย (สตางค์)



โปรเจ็คสวย ลดน้ำหนัก หุ่นดี ไม่มีเสีย (สตางค์)


   ของดีและฟรีมีที่ไหน หลายคนคงนึกข้องใจ แต่โปรแกรมลดน้ำหนักของเรานี้ไม่มีเสีย (สตางค์แม้สักแดงเดียว) แถมได้อีกต่างหาก เพราะเรากำลังจะชวนคุณมาเข้าโปรเจ็คหุ่นสวย ลดน้ำหนัก ด้วยงานบ้าน
   ใครว่างานบ้านเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายและเสียเวลา อย่าเพิ่งร้องยี้แล้วเปิดผ่านไป เพราะกิจกรรมแสนยุ่งนี้แหละที่จะช่วยเรียกคืนหุ่นสวย ลดน้ำหนัก พร้อมการมีสุขภาพดีได้ ไม่แพ้การเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายประเภทอื่น ขอเพียงคุณจัดโปรแกรมการทำงานบ้านให้ได้ออกกำลังทุกสัดส่วน โดยมีการก้ม เงย ยืด เหยียด ครบในคราวเดียว และทำเป็นประจำทุกวันพร้อมควบคุมอาหาร รับรองว่าภายใน 1 เดือน รูปร่างจะเพรียว น้ำหนักลด แถมกระชับขึ้นจนรู้สึกได้ ว่าแล้วจะรอช้าอยู่ไย เรามาจับไม้กวาดแปลงร่างเป็นนางซินรับกระแสเศรษฐกิจพอเพียงด้วยกันดีกว่าค่ะ
   ประโยชน์ที่ได้รับ นอกจากทำให้บ้านสะอาดน่าอยู่แล้ว ยังช่วยเพิ่มความแข็งแรง ยืดหยุ่นให้แก่ร่างกาย และจะดีมากหากคุณทำงานบ้านติดต่อกันไม่หยุดอย่างน้อย 45 นาที เพราะจะช่วยบริหารกล้ามเนื้อหัวใจให้สูบฉีดเลือดได้เต็มที่ ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ในปริมาณที่เหมาะสมโดยไม่เหนื่อยจนเกินไป
เคล็ดไม่ลับ ลบความขี้เกียจ
   ทำงานบ้านเงียบๆ อาจรู้สึกเบื่อ ไร้แรงจูงใจและพาลให้ขี้เกียจ เรามีคำแนะนำที่จะช่วยให้คุณสนุกขึ้นได้
  • Music Inspiration เปิดเพลงสบายๆ แนวชิลล์ เอ้าท์ บอสซาโนวา ดนตรีเลียนเสียงธรรมชาติ หรือเพลงที่ชอบ แล้วลองเคลื่อนไหวไปพร้อมกับจังหวะดนตรี จะช่วยให้คุณเพลินจนลืมเหนื่อยเลยล่ะ
  • Spa @ Home ทำสวยด้วยการพอกผิว ย้อมผม หรือมาสก์หน้าทิ้งไว้ก่อนลงมือทำงานบ้าน ช่วยประหยัดเวลาได้ดี แต่ควรเลือกกิจกรรมที่ไม่ทำให้เหงื่อโทรมจนเครื่องสำอางที่พอกลอกหลุดไป
สวยจากช่วงว่างของเวลา
   ขณะทำกิจกรรมต่างๆ ในบ้าน จะมีช่วงเวลาพอให้คุณได้นั่งเล่นพักผ่อน เช่น รอเครื่องซักผ้าทำงาน รออาหารสุก เพื่อการออกกำลังอย่างต่อเนื่องเราไม่อยากให้คุณนั่งพักเฉยๆ มาลองยืดเส้นยืดสายกับ 3 ท่าบริหารร่างกาย ที่สามารถทำได้ภายใน 10 นาที
1.        วิ่งเขย่งปลายเท้าอยู่กับที่ ยกเข่าให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำท่านี้ 30 วินาทีสลับไปกับการวิ่งเตะเท้าไปด้านหลัง (แตะที่ก้น) 30 วินาที ทำสลับเช่นนี้ 10 ครั้ง ช่วยลดไขมันตั้งแต่สะโพกเรื่อยลงมาถึงน่องได้
2.       ยืนตัวตรงวางมือบนสะโพก ก้าวเท้าซ้ายไปด้านหลังให้ไกลที่สุด ขาเหยียดตรง จากนั้นลดเข่าซ้ายลงจนเกือบชิดพื้น เข่าขวาจะตั้งฉากโดยอัตโนมัติ ค้างไว้ 5 นาที สลับทำข้างละ 15 ครั้ง ช่วยกระชับสะโพก บั้นท้าย และต้นขา
3.       ยืนตัวตรงกางขาออกเล็กน้อย มือทั้งสองข้างถือขวดน้ำขนาด 1.5 ลิตรไว้ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะ โดยหันท่อนแขนด้านในออก ทำเช่นนี้ 5 ครั้ง จากนั้นสลับข้างทำไปเรื่อยๆ 10 ครั้ง ช่วยกระชับต้นแขนและหน้าท้อง
   ลองทำโปรเจ็คสวยด้วยงานบ้านของเรา แล้วคุณจะค้นพบเทรนด์สวยแสนสนุก ที่ทั้งฟรีและดีจริงๆ

คอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 7 ฉบับที่ : 80 เดือน : กันยายน 2550

ต้านอนุมูลอิสระ เคล็ดลับ ชะลอวัย



ต้านอนุมูลอิสระ เคล็ดลับ ชะลอวัย


อนุมูลอิสระสหายของความเสื่อม
    อนุมูลอิสระ (Free radical) ตัวการร้ายทำลายผิว เกิดจากปฎิกริยาออกซิเดชั่นของออกซิเจนในการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย กลายเป็นสนิมไปเกาะเซลล์ต่างๆ และกัดกร่อนเซลล์ให้เสื่อมสภาพเร็ว เปรียบได้กับคราบควันพิษจากการเผาเชื้อเพลิงของโรงงาน หากเกิดเพียงเล็กน้อยร่างกายจะส่งสัญญาณเตือนด้วยอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ผิวหมองคล้ำ แต่ถ้าเมื่อใดที่ร่างกายต้องเผชิญกับปัจจัยอื่นรุมเร้า ก็จะมีปริมาณอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นเฉียบพลัน จนเกินกว่าจะรับมือไหว และหากยิ่งทิ้งไว้เนิ่นนานอวัยวะต่างๆ จะเกิดความเสื่อมหรือแสดงออกทางผิวหนังที่เหี่ยวย่น ซึ่งเป็นปัญหาที่แก้ไขยากเสียแล้ว

ไม่อยากแก่ ต้องทำอย่างไร
    เพื่อไม่ให้ร่างกายต้องแบกรับปริมาณสารอนุมูลอิสระเกินขนาด จนเป็นสาเหตุแห่งความแก่ชรา คุณควรหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นการเกิดอนุมูลอิสระดังนี้
  • กิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก เช่น ออกกำลังกายหักโหมจนเกิดอาการเหนื่อยหอบ อย่างการวิ่งมาราธอน ยกน้ำหนัก
  • กิน อาหารที่ทำให้เกิดการเผาผลาญพลังงานมาก เช่น ของทอด อาหารกลุ่มไขมันชนิดอิ่มตัว และไขมันทรานซ์ คาร์โบไฮเดรต และโปรตีน ที่ให้แคลอรีสูง หรือสิ่งที่มีอนุมูลอิสระสูง เช่น ของปิ้งย่าง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่
  • หลีกเลี่ยงมลภาวะและสารเคมี นอกจากมลพิษทางอากาศ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์ ที่เราหายใจเข้าไปแล้ว สารเคมีที่ปลอมปนอยู่ในอาหาร เช่น ยาฆ่าแมลง ผงชูรส สีสังเคราะห์ ยังเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อนุมูลอิสระในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น ส่วนแสงแดดที่เราต้องเจอทุกวันก็ส่งผลให้เกิดอนุมูลอิสระบริเวณผิวหนัง ซึ่งเป็นด่านแรกที่รับแสงนั่นเอง
  • เครียด สมองถือเป็นอวัยวะที่ผลิตอนุมูลอิสระสูงเนื่องจากทำงานหนักและมีการเผาผลาญ พลังงานมาก เมื่อเกิดความเครียดร่างกายจะหลั่งสารเคมีบริเวณสมองส่วนที่เกี่ยวกับอารมณ์ ความรู้สึก ซึ่งทำให้เกิดสารอนุมูลอิสระเพิ่มมากยิ่งขึ้น มีงานวิจัยของ ดร.ริชาร์ด เดวิดสัน จากมหาวิทยาลัยวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา ซึ่งเก็บข้อมูลจากพระลามะ ทิเบต พบว่า การนั่งสมาธิแบบพุทธมหายาน ช่วยลดความเครียดและเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกายได้ เพราะการนั่งสมาธิจะช่วยให้หายใจช้าลง ทำให้เกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่นน้อยลง และร่างกายหลั่งโกร๊ธฮอร์โมนเพิ่มขึ้น ซึ่งช่วยต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย 
  • พัก ผ่อนไม่เพียงพอ การนอนหลับช่วยให้อวัยวะส่วนใหญ่ได้หยุดพักและช่วยให้อวัยวะที่ต้องทำงาน ตลอดเวลา เช่น หัวใจ ปอด และสมอง ใช้พลังงานน้อยลงซึ่งเป็นการลดการเกิดอนุมูลอิสระได้ทางหนึ่ง ดังนั้นหากพักผ่อนน้อย ร่างกายจึงต้องผลิตพลังงานและทำให้เกิดอนุมูลอิสระมากตามไปด้วย
กินเติมสารมหัศจรรย์ต้านแก่ 
    แม้คุณจะพยายามหลีกเลี่ยงพฤติกรรมก่ออนุมูลอิสระสักเท่าไร แต่เมื่ออายุมากขึ้น ประสิทธิภาพในการสร้างสารต้านอนุมูลอิสระของร่างกายก็จะลดลง จึงจำเป็นต้องปรับพฤติกรรมเพื่อลดการเกิดและสะสมสารต้านอนุมูลอิสระไว้เสีย ตั้งแต่วันนี้
  • แคโรทีนอยด์ เป็นเม็ดสีชนิดละลายในไขมัน ซึ่งร่างกายสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอได้เมื่อผ่านการปรุงสุก พบในผักสีส้ม เหลือง แดง เขียวเข้ม เช่น เอพริคอต ฟักทอง แคนตาลูป แครอท พีช บรอกโคลี
  • ฟลา โวนอยด์ เป็นเม็ดสีชนิดละลายน้ำ มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระดีกว่าวิตามินซีและอีถึงห้าสิบเท่า พบมากในดาร์กช็อกโกแลต องุ่นแดง และชาเขียว
  • แอนโธไซยานิน ช่วยต้านการอักเสบของเซลล์ พบในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่
  • โคเอนไซม์คิวเทน ช่วยต้านอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสียูวี พบได้ในแซลมอน ปลาทู ปลาทูน่า
  • วิตามิน ซี เป็นวิตามินชนิดละลายน้ำที่เสริมการทำงานของสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นให้ทำ งานอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการเกิดปฏิกริยาออกซิเดชั่นในไขมันชนิดไม่ดี (LDL) ได้แก่ ไขมันชนิดอิ่มตัว และไขมันทรานซ์ พบมากในฝรั่ง สตรอว์เบอร์รี่ ส้ม เชอร์รี่ เสาวรส ทับทิม ซึ่งควรรับประทานแบบผลสดเพราะวิตามินซีจะถูกทำลายเมื่อถูกความร้อนและแสงแดด
  • วิตามิน อี เป็นวิตามินชนิดละลายในไขมัน ช่วยต้านอนุมูลอิสระในอวัยวะที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ เช่น สมอง ตับ พบมากในน้ำมันพืข โดยเฉพาะน้ำมันปาล์ม ถั่วลิสง วอลนัต อัลมอนด์
  • แร่ ซิลีเนียมและสังกะสี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระสำคัญที่เสริมการทำงานของวิตามินอี ช่วยฟื้นฟูความเสื่อมของเซลล์ พบมากในเนื้อแดง อาหารทะเล และถั่วเปลือกแข็ง
    นอกจากจะเลือกรับประทานอาหารที่มากด้วยสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อชะลอความ เสื่อมโดยรวมแล้ว เรายังสามารถเติมสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อลดปัญหาผิวได้ตรงจุด โดยการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีวิตามินอี วิตามินซี โคเอนไซม์คิวเทน ซึ่งแม้จะช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็ต้องทำความเข้าในในหลักการและวิธีการใช้ที่ถูกต้องด้วย
  • วิตามินหรือสารบำรุงดังกล่าวอาจสูญสลายเมื่อถูกความร้อน จึงควรเก็บรักษาผลิตภัณฑ์ไว้ในตู้เย็นเพื่อคงคุณค่าของสารบำรุงไว้
  • ไม่ ควรทาผลิตภัณฑ์พร้อมกันหลายชนิด เพราะนอกจากผลิตภัณฑ์จะซึมลงสู่ผิวได้ในปริมาณจำกัดแล้ว ส่วนประกอบของครีมที่แตกต่างกันจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของวิตามินหรือสารต้าน อนุมูลอิสระในครีมเสื่อมสภาพหรือสูญสลายไป
  • อาจเลือกใช้ผลไม้ที่มี สารต้านอนุมูลอิสระสูง เช่น สตรอว์เบอร์รี่บดผสมกับโยเกิร์ตรสธรรมชาติพอกหน้าเพื่อเพิ่มวิตามินซีให้แก่ ผิวโดยตรง
    รีบเติมสารต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกายเสียตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้ความสวยยั่งยืนจากภายใน ส่งผลให้ผิวพรรณที่แลดูอ่อนวัยอยู่คู่กับเราไปนานๆ นะคะ

คอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 10 ฉบับที่ : 119 เดือน : ธันวาคม 2553

วันพุธที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2556

ประโยชน์ต่างๆ ของ น้ำมันกระเทียม ดีสำหรับ โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และปัญหาคอเลสเตอรอล




ประโยชน์ต่างๆ ของ น้ำมันกระเทียม
น้ำมันกระเทียม (Garlic oil) จากงานวิจัยของทีมแพทย์ไทย และ ข้อมูลวิชาการต่างๆ ของทางการแพทย์ทั่วโลก สามารถยอมรับละรับประกันได้ว่า น้ำมันกระเทียม สามารถป้องกันและรักษาโรคหลายชนิดที่เดี๋ยวนี้ คนส่วนมากเป็นกัน และมีการเกิดภาวะของโรคประมาณ 80 % ของคนไทย
โรคเบาหวาน น้ำมันกระเทียมให้สารกลูโคไคนิน (Glucokinin) กระตุ้นตับอ่อนให้สร้างอินซูลินเพิ่มขึ้น ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน มีการทดลองให้สารสกัดกระเทียมแก่กระต่ายที่ทำให้เป็นเบาหวานด้วย alloxan โดยให้ในขนาด 0.25 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม พบว่าสามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ร้อยละ 70 เมื่อเปรียบเทียบกับยา tolbutamide ส่วนสาร allicin มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดได้พอๆ กับ tolbutamide
โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน และปัญหาคอเลสเตอรอล มีปัจจัยสำคัญที่ทำ ให้เกิดโรคหัวใจส่วนใหญ่ เนื่องมาจากการสะสมเกาะตัวของไขมันที่ผนังหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งกระเทียมมีส่วนช่วยลดปริมาณโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด จากการวิจัยพบว่าสารประกอบซัลเฟอร์ในกระเทียมโดยเฉพาะอัลลิซิน สามารถลดปริมาณโคเลสเตอรอลรวม และ โคเลสเตอรอลชนิดร้าย (LDL-cholesterol) ได้ดีเพราะอัลลิซินสามารถยับยั้งการทำงานของ HMG-COA reductase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการสังเคราะห์โคเลสเตอรอล  สำหรับกรณีผู้ที่มีปัญหาระดับโคเลสเตอรอลสูงมากกว่า 210 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร ควรเสริมด้วยน้ำมันสกัดจากถั่วเหลืองหรือเลซิตินควบคู่กับกระเทียม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลดระดับโคเลสเตอรอลในเลือดให้ดียิ่งขึ้น แต่กรณีผู้ที่มีปัญหาระดับโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์สูงทั้งคู่ควรเสริม ด้วยน้ำมันปลา โอเมก้า-3 ควบคู่กับกระเทียม จะช่วยลดทั้งโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอรไรด์ได้ รวมทั้งน้ำมันปลายังมีผลในเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-cholesterol) ที่มีหน้าที่ในการนำโคเลสเตอรอลที่สะสมและอุดตันในหลอดเลือดกลับไปทำลายหรือ เผาผลาญที่ตับ ดังนั้นหากสามารถเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลชนิดดี (HDL-cholesterol) เพียง 1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจได้ถึง 3-4% ส่วนการทดลองทางคลินิกพบว่าเมื่อให้น้ำมันหอมระเหยจากกระเทียมกับคนปรกติและ คนไข้โรคหัวใจที่มีระดับโคเลสเตอรอลสูง ในขนาด 0.25 มก./น้ำหนักตัว 1 กก. เป็นเวลา 10 เดือนพบว่าระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลง นอกจากนี้เมื่อให้กระเทียมสดกับคนไข้ที่มีไขมันในเลือดสูงในขนาดครั้งละ 25 กรัม วันละ 3 เวลา เป็นเวลา 25 วัน พบว่า 1/3 ของคนไข้มีระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลงอย่างเห็นได้ชัด
โรคความดันโลหิตสูง จากผลวิจัยยังพบว่า กระเทียมสกัดยังช่วยลดการจับแข็งตัวของลิ่มเลือดกับก่อนไขมันในหลอดเลือดได้ เป้นอย่างดี จากการยับยั้งเอนไซม์ Thromboxane ทำให้เลือดหมุนเวียนได้ง่ายขึ้น
เสริมภูมิต้านทาน ลดภูมิแพ้  สารสำคัญในน้ำมันกระเทียม คือ อัลลิซิน ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายโดยกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ด เลือดขาวเช่น Macrophages และ T-lymphocyte เพิ่มขึ้น เมื่อร่างกายเรามีเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นจะส่งผลในการช่วยบรรเทาและลด อาการภูมิแพ้ นอกจากนี้กระเทียมมีฤทธิ์ที่เปรียบเสมือนยาปฏิชีวนะ ที่ช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส และเชื้อรา จากการทดลองพบว่าผลิตภัณฑ์กระเทียมในรูปแบบต่างๆ ล้วนแล้วแต่มีผลในการยับยั้งการเจริญของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค หลายชนิดรวมทั้งเชื้อ Klebsiella pneumoniae ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปอดบวม และเชื้อ Mycobacterium tuberculosis อันเป็นสาเหตุของวัณโรค โดยเฉพาะเชื้อวัณโรคได้มีการทดลองให้น้ำมันกระเทียมในผู้ป่วยวัณโรคปรากฏว่า ได้ผลดี และพบว่าสารที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้เป็นสารจำพวก sulfide ดังนั้นกระเทียมจึงมีส่วนในการช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ลดโอกาสการแพ้ต่างๆ และลดอาการเรื้อรังทางระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด หอบหืด ไซนัส หูอักเสบ เป็นต้น และกรณีที่เสริมด้วยการรับประทานวิตามินเช่น วิตามินซีควบคู่กับน้ำมันกระเทียมพบว่าจะช่วยบรรเทาและลดความถี่ของการเกิด โรคภูมิแพ้ เนื่องจากทั้งวิตามินซีและน้ำมันกระเทียมจะเสริมฤทธิ์กันในการกระตุ้นให้ เกิดการสร้างเม็ดเลือดขาวของร่างกายเพิ่มมากขึ้นส่งเสริมให้ภูมิต้านทานของ ร่างกายดีขึ้นอย่างชัดเจน
ป้องกันโรคมะเร็ง และต้านสารอนุมูลอิสระ จากการวิจัยพบว่าสาร ตัวหนึ่งในกระเทียมชื่อ S-allylmercaptocysteine ช่วยลดการเกิดมะเร็งในต่อมลูกหมากได้ถึง 50% และสาร allyl sulfides ช่วยลดการผลิตเอนไซม์ phase 1 ซึ่งเป็นอันตรายต่อเซลล์และนำไปสู่การเกิดเซลล์มะเร็งได้ กระเทียมจึงสามารถป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งได้ดีเยี่ยม นอกจากนั้นซีลีเนียม (Selenium) ที่พบในกระเทียมมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและลดอันตรายจากการเกิดอนุมูลอิสระ ที่เป็นสาเหตุให้เกิดเซลล์มะเร็งที่อวัยวะต่างๆ
ลดอาการผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร ภาวะอาหารไม่ย่อย เบื่ออาหาร แน่นท้อง ท้องเฟ้อ และท้องอืด ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดท้อง เสียดท้องหรือท้องอืด โดยกระเทียมสามารถออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการแน่นจุก เสียด ท้องเสีย และกระเทียมยังมีฤทธิ์ขับน้ำดีทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น
ลดอาการอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร โดยกระเทียมไปออกฤทธิ์ต้านสารสังเคราะห์ Prostaglandin และกระเทียมยังมีฤทธิ์เพิ่มการบีบตัวของกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กด้วย

เมื่อเราเห็น ประโยชน์มากมายที่มีอยู่ในกระเทียม ถ้าหากสามารถบริโภคกระเทียมให้ได้ปริมาณสารสำคัญที่มากพอในแต่ละวัน กระเทียมจะสามารถช่วยป้องกันร่างกายให้ห่างจากโรคร้ายได้เป็นอย่างดี แต่สารสำคัญของกระเทียมโดยเฉพาะอัลลิซินยังมีคุณสมบัติไม่คงตัว สลายตัวได้ง่าย เพียงสัมผัสกับความร้อนแค่ 6 วินาที สารสำคัญอัลลิซินที่อยู่ในกระเทียมจะหมดไปทันที ดังนั้นน้ำมันกระเทียมสกัดในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นอีกทางเลือก หนึ่งที่สามารถรักษาคุณค่าของสารสำคัญที่มีอยู่ในกระเทียมได้อย่างครบถ้วน อีกทั้งยังสะดวกในการรับประทาน ไม่ต้องพบกับปัญหาเรื่องรสชาดและกลิ่นที่จะตามมาอีกด้วย

HYALURONIC ACID มีผลอย่างไรต่อริ้วรอย?

HYALURONIC ACID มีผลอย่างไรต่อริ้วรอย?


Hyaluronic acid (กรดไฮยาลูโรนิก) เป็นสารที่ใช้กันมานานกว่า 10 ปี และนิยมใช้ในเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ในการดูแลผิว   ปัจจุบันนี้ก็ยังคงได้รับความนิยมมาตลอด เป็นเพราะว่ามันออกฤทธิ์ได้ผลดี โดยเฉพาะช่วยในการลดริ้วรอย
       Hyaluronic acid นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการแพทย์โดยเฉพาะทางด้านความงาม (ทั้งในรูปครีมทาและยาฉีด) และในธุรกิจเครื่องสำอางเอง พวกเราก็จะพบเห็นได้บ่อยมากในผลิตภัณฑ์กลุ่มลดริ้วรอย ด้วยความสามารถในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ถูกทำลาย และเร่งขบวนการหายของแผล ซึ่งทั้งสองประเด็นนี้ ถูกนำมาใช้เป็นจุดขายหลักของผลิตภัณฑ์แบรนด์เนมหลายตัว และรวมไปถึงเวชสำอางที่เป็นแบรนด์เนมของแพทย์ โดยใช้เป็นสารออกฤทธิ์ที่สำคัญร่วมกับโคเอ็นไซม์-คิวเท็น (Coenzyme Q10), วิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระ
       ร่างกายคนเราสามารถสร้าง Hyaluronic acid ได้เอง โดยพบมากที่ผิวหนัง และปัจจุบันก็มีการผลิตขึ้นมาขายในเชิงพาณิชย์โดยผ่านขบวนการหมักทางชีวภาพ
       Hyaluronic acid มีลักษณะหนืดข้น ละลายน้ำได้และมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดีมาก   แนะนำให้ใส่ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (ทั้งครีมบำรุง, โลชั่น, สเปรย์, ลิปสติก อื่นๆ) ที่ความเข้มข้น 0.25% ถึง 2.00%
       นอกเหนือจากคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีแล้ว มันยังช่วยลดการสร้างอนุมูลอิสระและช่วยกรองรังสี UV ได้อีกด้วย   ดังนั้นจะเห็นได้ว่า โดยลำพังแล้วกรดไฮยาลูโรนิกก็จัดได้ว่า เป็นสารที่ช่วยชะลอความแก่ที่มีประสิทธิภาพดีตัวหนึ่ง   จึงมีราคาค่อนข้างแพงพอควร และราคาของผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายก็ขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของปริมาณกรดไฮยาลูโรนิกที่ใช
       เครื่องสำอางเอสเต้ ลอเดอร์ (Este่e Lauder) เป็นรายแรกที่ได้ออกไลน์สินค้าชื่อ เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ (Perfectionist) หลังจากที่ได้ทุ่มเทเงินจำนวนมหาศาลในการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ขึ้น มา ซึ่งทางเอสเต้เองก็อ้างว่า ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้จะช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่นและลดริ้วรอยได้ เมื่อใช้สม่ำเสมอเป็นประจำทุกวัน
       หลังจากที่เอสเต้ได้เปิดตัวไลน์ สินค้า เพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ขึ้นมา   สินค้าในกลุ่มนี้ก็มียอดขายเข้ามาจำนวนมาก ซึ่งสารสำคัญที่ช่วยให้สินค้าในไลน์นี้ของเอสเต้ประสบความสำเร็จก็คือ Hyaluronic acid นั่นเอง
       ปัจจุบัน มีเครื่องสำอางหลายชนิดที่ได้เลียนแบบเครื่องสำอางในชุดเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ ของเอสเต้ตัวนี้   รวมไปถึงสินค้าที่เป็นแบรนด์ของแพทย์ก็เช่นกัน ซึ่งมีทั้งในรูปของครีมทาและยาฉีดก็มี
       ในประเทศไทยเองก็มีการนำเข้าสารเคมี ตัวนี้มาใช้ในครีมบำรุงผิวกันมาก โดยเฉพาะในกลุ่มเวชสำอาง ซึ่งทำให้ผลิตภัณฑ์มีราคาค่อนข้างสูง   ระยะหลังมีการนำ Hyaluronic acid เข้ามาจากจีน ซึ่งก็มีราคาถูกลง   แต่พวกคุณก็ต้องระวังด้วย เพราะกรดไฮยารูโลนิกบางตัวมีราคาถูกมาก เนื่องจากเป็นเกรดที่ต่ำ เมื่อใส่ในผลิตภัณฑ์แล้วมักจะใช้ไม่ได้ผล -- ตามที่ผู้ผลิตอ้าง   ดังนั้นพวกคุณอาจจะต้องเสียเงินเปล่า

บทความจาก เบร คอสเมติก

วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

คอลลาเจน กับริ้วรอยและตีนกา

คอลลาเจน กับริ้วรอยและตีนกา

       คอลลาเจนเป็นโปรตีนหลักชนิดหนึ่งที่พบได้ในเนื้อเยื่อของสัตว์ ซึ่งรวมกันแล้วคิดเป็น 25% ของน้ำหนักตัว โดยธรรมชาติแล้วจะเป็นเส้นใยตาข่ายที่ยึดเนื้อเยื่อต่างๆ ของอวัยวะเข้าด้วยกัน   เปรียบได้กับกาวเนื้อเยื่อที่ยึดกันเข้าเป็นรูปทรง
       ดังนั้นจึงพบได้ในเนื้อเยื่อทุกชนิด ของร่างกาย และพบได้ทั้งในและภายนอกเซลล์   เป็นตัวที่ทำให้เกิดความแข็งแกร่งของเนื้อเยื่อ   ด้วยเหตุนี้จึงพบได้มากในพังผืด, กระดูกอ่อน, เอ็น, กระดูกและฟัน
       ที่ผิวหนัง คอลลาเจนจะเป็นตัวที่ทำให้ผิวมีความแข็งแรงและยืดหยุ่น   ดังนั้น ถ้าคอลลาเจนถูกทำลายจากสาเหตุอะไรก็ตาม ก็จะทำให้เกิดริ้วรอย ร่องลึกที่ผิวหนังได้
       ในทางการแพทย์ ได้มีการนำคอลลาเจนมาใช้กันอย่างแพร่หลายในทุกสาขา โดยเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงาม
      ประเด็นที่น่าสนใจดังนี้
1. การใช้คอลลาเจนเพื่อความสวยงาม อาจจะมีปฏิกิริยาแพ้ได้ และทำให้เกิดผื่นแดงเป็นเวลานาน ดังนั้นก่อนที่จะใช้ ควรทำการทดสอบการแพ้ก่อน
วิธีทดสอบการแพ้ ด้วยวิธีง่ายๆ คือ ให้ทาที่ผิวหนังบริเวณหลังใบหู หรือที่ผิวหนังด้านในของข้อพับแขน ถ้ามีรอยแดงหรือมีอาการคันเกิดขึ้นใน 24 ชม. แสดงว่าอาจจะแพ้ได
2. คอลลาเจนที่ใช้ทางการแพทย์ ส่วนใหญ่ได้มาจากหนังวัวรุ่น (ที่ไม่มีปัญหาเรื่องเชื้อวัวบ้า) ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่จะใช้วัวจากประเทศที่ไม่มีการแพร่ระบาดของเชื้อวัวบ้า เช่น ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น
3. หนังหมูก็มีการนำมาใช้ผลิตคอลลาเจนกันมาก เพื่อทดแทนปัญหาเรื่องความปลอดภัยจากเชื้อวัวบ้า โดยเฉพาะทำเป็นแผ่นชีตคอลลาเจน ที่ใช้ในการผ่าตัด
4. ปัญหาจากการใช้คอลลาเจนจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เช่น วัว เป็นต้น ยังคงมีปัญหาเรื่องปฏิกิริยาการแพ้อยู่มาก จึงมีการเลี่ยงไปใช้คอลลาเจนที่ผลิตจากหนังปลาหรือไข่ของปลาเทราท์ ทำให้ราคาของคอลลาเจนสูงมากเมื่อเทียบกับคอลลาเจนจากหนังวัวหรือหมู (เช่น คอลลาเจนจากหนังวัวอยู่ที่ 400 - 2,000 บาท/ก.ก.   แต่ถ้าเป็นคอลลาเจนจากปลา ราคาอาจจะสูงถึงก.ก.ละ 20,000 บาท!)
5. การใช้คอลลาเจนจากสัตว์ (แม้จะได้จากปลา) ก็ยังคงมีปัญหาเรื่องแพ้ได้   ปัจจุบันมีการเลี่ยงมาใช้คอลลาเจนที่ได้จากพืช ทำให้ปัญหาเรื่องแพ้ลดน้อยลง แต่ก็มีราคาสูงเช่นกัน
คอลลาเจนมีกี่ชนิด?
       คอลลาเจนพบได้ทุกแห่งในร่างกาย   จากการศึกษาพบว่ามีทั้งสิ้น 28 ชนิด และกว่า 90% ของคอลลาเจนที่พบในร่างกาย เป็นชนิด 1, 2, 3 และ 4
·         คอลลาเจน ชนิดที่ 1: พบมากที่กระดูก และช่วยในการซ่อมแซมผิว มีมากที่บริเวณแผลเป็น
·         คอลลาเจน ชนิดที่ 2: พบมากที่กระดูกอ่อน
·         คอลลาเจน ชนิดที่ 3: พบมากที่เส้นใยของอวัยวะกลวง เช่น เส้นเลือด หลอดอาหาร เป็นต้น
·         คอลลาเจน ชนิดที่ 4: มีมากที่ผนังด้านล่างของเซลล์บุ (เซลล์บุพบที่ผิวของอวัยวะทุกชนิด)
      คอลลาเจนพอจะรู้จักคร่าวๆ และนอกจากนี้  คอลลาเจนจะมีผลต่อการรักษาริ้วรอย ร่องผิวลึกได้

บทความจาก เบร คอสเมติก

วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2556

จำนวนพลังงานฉันจะเผาผลาญเมื่อใช้ capsiplex


จำนวนพลังงานฉันจะเผาผลาญเมื่อใช้ capsiplex
ยาเม็ดใหม่ Capsiplex ธรรมชาติลดน้ำหนักจากสหราชอาณาจักร
จะช่วยคุณคุณได้รับกำจัดน้ำหนักโดยใช้ส่วนผสมพัฒนาเป็นพิเศษของพริก (พริกขี้หนู) 
ผู้ผลิตของ Capsiplex พิสูจน์ว่าหากคุณใช้อาหารเสริมนี้ โดยเฉลี่ยจะเผาผลาญขึ้นประมาณ 278  
แคลอรี่ ก่อนหน้า ระหว่าง และหลังจากการออกกำลังกาย จะเหมือนกับ 20 นาทีของการฝึกพลังหรือแปดสิบนาทีในการเดิน และคล้ายกับการกินแฮมเบอร์เกอร์ 1 หรือบางทีอาจจะพิซซ่าชีส นอกจากนี้ยังพิสูจน์ว่าบุคคลที่ทดลอง Capsiplex ก็หลังการทดลองของพวกเขาจะเผาผลาญได้พลังงานประมาณสิบสองขึ้นกว่าเมื่อที่พวกเขาไม่เคยทดลอง Capsiplex โดยทั่วไปการบริโภคพลังงานทุกวัน 278ทำให้เกิดไขมันขนาดใหญ่ 25 ปอนด์ต่อปี!
 บัญญัติ "ยาพริก"และกำลังขยายการนิยมโดยเฉพาะของ Hollywoodดารารายก็ผลิตจากส่วนผสมจากธรรมชาติทั้งหมด พริก, คาเฟอีนและไนอาซิน ซึ่งในตัวเองที่มีอยู่ในจำนวนมากของอาหารและเครื่องดื่มอื่น ๆ ไม่มีผลข้างเคียงที่ได้รับการเกี่ยวข้องกับการใช้อาหารเสริมที่ได้รับการตั้งข้อสังเกตที่เคยตั้งแต่การเปิดตัว Capsiplex ของ สารสกัดจากพริกได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์เพื่อลดความหิวเพิ่มอัตราการเผาผลาญของคุณนอนหลับ, การเผาไหม้แคลอรี่และลดไขมันในร่างกายและมวลกล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็วอย่างมาก
 โดยใช้พริกเผาแคลอรี่ในวิธีการที่ปลอดภัย มันเป็นที่รู้จักเข้าใจบางครั้งขณะนี้ที่จะมีพริกผลใหญ่กับความเร็วในการอัตรา metabolicช่วยให้คนลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วจริงๆ อุปสรรคที่ Capsiplexมีความสามารถได้รับกว่ารู้สึกไม่สบายเป็นเรื้อรังเนื่องจากความร้อนมากเกินไปที่พริกเป็นของปริมาณนี้จะทำให้หลาย ๆ คน นักวิทยาศาสตร์ขึ้นมาพร้อมกับตัวเลือกความยากลำบากนี้โดยใส่เลเยอร์พิเศษมากกว่าเหล่านี้ธรรมชาติไขมันในบัสเตอร์ซึ่งช่วยลดความระคายเคืองตามระดับมาก วิธีนี้ผู้ใช้สามารถจะได้อย่างปลอดภัยและ Capsiplexสะดวกก็มักเป็นวิธีที่ปลอดภัยที่สุดที่เป็นไปได้ที่จะใช้ประเภทของปริมาณสูงของพริกนี้ที่มีออกมาอาการไม่พึงประสงค์ใด ๆ ที่ไม่พึงประสงค์ ในขณะที่พวกเขาอย่างแน่นอนทำงานเพื่อเต็มไปได้ของพวกเขาเมื่อดำเนินการกับนิสัยการรับประทานอาหารที่เหมาะสมและการฝึกอบรมที่สมดุลปกติก็ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงจะผลิตรูปแบบชีวิตของคุณเพื่อให้บรรลุผล และมันก็ไม่มากสิ่งที่คุณใช้เวลาเป็นสิ่งที่คุณใช้เวลาจากอาหารของคุณที่จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักที่คุณต้องการ
เป็นเครื่องมือที่ดีในการลดน้ำหนักของคุณมีความหลากหลายของประโยชน์ต่อคุณสามารถที่จะประสบความสำเร็จในขณะที่การมี Capsiplex capsaicin สามารถลดความเสี่ยงของโรคหัวใจหลายสถานการณ์เพราะแสดงให้เห็นว่าภาวะต่อต้านของหัวใจดีท๊อกซ์คอเลสเตอรอลที่ไม่ดีออกจากร่างกายเลือดระดับน้ำตาลในเลือดของคุณและการควบคุมที่เฉพาะสำหรับการเริ่ม หากคุณกำลังมองหาไม่เพียง แต่มีประสิทธิภาพสูงการเสริมน้ำหนักปลอดภัย แต่ยังสุขภาพร่างกายแล้วมองไม่เพิ่มเติมกว่า Capsiplex