วันอังคารที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อาหารเสริมเพิ่มความสวย



อาหารเสริมเพิ่มความสวย

ทัศนคติของเราต่ออาหารเสริมเริ่ม เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทุกวันนี้ไม่เคยเห็นสาวสวยคนไหนไม่ค้นหาวิตามินและแร่ธาตุเสริมในรูปแคปซูล มารับประทานเป็นประจำ  ลองคิดดูว่า เราจะต้องบริโภคอาหารในแต่ละวันมากมายขนาดไหนถึงจะได้สารอาหารครบถ้วนตามที่ ร่างกายต้องการเพื่อความสดชื่น มีชีวิตชีวา ด้วยเหตุนี้ อาหารเสริมจึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตของผู้หญิงสวยยุคปัจจุบัน
วิตามินA - รัปประทานวิตามินเอ เพื่อปรับสภาพิวให้ชุ่มชื้น พัฒนาสายตาดี และซ่อมแซมผิวพรรณและเล็บ
วิตามินB -  เป็นวิตามินสำคัญในการดูแลผิวให้เรียบเนียน เร่งการเจริญเติบโตของผมและเล็บและช่วยให้เลือดไหลเวียนดี
วิตามินC - มีขายหลายรูปแบบ และเป็นตัวยาสุดโปรดในวงการเครื่องสำอาง วิตามินซีจะช่วยยืดอายุของวิตามินอีและปกป้องเซลล์คุ้มกันบริเวณผิวหนังให้ ต่อสู้กับมะเร็ง รวมไปถึงโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับแสงแดด วิตามินซีช่วยลบเลือนริ้วรอยแห่งวัยและจุดด่างดำต่างๆ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันผิวแตกเพราะอากาศหนาวและช่วงเร่งการผลัดเซลล์ผิวอีก ด้วย
วิตามินE - รู้จักกันในนามวิตามินเพื่อผิวสวย มีคุณสมบัติในการรักษาแผลเป็น ต่อต้านและลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระซึ่งมีสาเหตุจากรังสียูวี
เวลาเหมาะในการรับประทานอาหาร เสริม จริงๆ แล้วเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญ 
แต่สิ่งสำคัญ คือ คุณจะต้องรับประทานอาหารเสริมในเวลาเดียวกันทุกวันเพื่อให้เป็นกิจวัตร อาหารเสริมบางชนิดอาจดูดซึมได้ดีกว่าถ้าทานคู่กับอาหาร ดังนั้นจึงควรทำตามคำแนะนำที่ระบุไว้ในฉลาก
ขอขอบคุณบทความดีๆ จาก: healthybooth.com

คอลลาเจนเพิ่มความแข็งแรงและยืดหยุ่นของผิวสวย อ่อนกว่าวัย



คอลลาเจน คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นสายยาว ซึ่งทำหน้าที่แตกต่างจากสารโปรตีนโดยทั่วๆ ไปเช่นแดียวกับเอนไซม์ สายเส้นใยของคอลลาเจนถูกเรียกว่า คอลลาเจน ไฟเบอร์ (Collagen Fiber) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นสายเกลียวที่มีหน่วยโมเลกุลเกี่ยวพันกันมากมาย โดยปกติทั่วไปผิวหนังที่มีคอลลาเจนเป็นโครงสร้างอยู่มากจึงมีแรงสปริงตัวและยืดหยุ่นได้ดีตามไปด้วย คอลลาเจนนั้นไม่ได้มีอยู่ที่ผิวหนังส่วนนอกเท่านั้น อวัยวะภายในร่างกายเอง ก็มีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบอยู่มาก ได้แก่ ผังผืด (Fascia), กระดูกอ่อน (cartilage), เส้นเอ็น (ligaments), ข้อต่อ (tendons),กระดูก (bone) สารคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบหลักของชั้นผิวมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า เคราติน Keratin[1]
เคราติน Keratin เคราตินมีหน้าที่สร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่น เมื่อสารเคราตินในชั้นผิวลดลง จึงเกิดริ้วรอยแห่งวัยขึ้นบนชั้นผิว นอกจากนี้ เคราตินมีหน้าที่สร้างความยืดหยุ่นให้ผนังหลอดเลือด มีส่วนช่วยในการสร้างเนื้อเยื่อใหม่ รวมทั้งยังเป็นส่วนประกอบของเยื่อกระจกตาและเลนส์ตาด้วย
Hydrolyzed Collagen เองยังถูกใช้งานในแง่ของการลดน้ำหนักได้ด้วย เนื่องจากเป็นส่วนประกอบของโปรตีนจึงมีข้อดีในการช่วยเผาผลาญพลังงานลดไขมัน ส่วนเกิน
การใช้คอลลาเจน ระยะเวลาเห็นผล 30 – 60 วัน (อยู่ที่การดูดซึมของแต่ละคน)
ริ้วรอยตื้นขึ้น 50%
ผิวที่หย่อนยานกระชับขึ้น 60%
ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น 45%
ผม และ เล็บ แข็งแรง และ หนาขึ้น
การสังเคราะห์คอลลาเจนเกิดในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีเซลล์ชื่อไฟโบรบลาสท์(Fibroblast) กระจายอยู่ทั่วและทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญต่อผิว 3 ชนิดคือ
1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ
2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และ
3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เอิบอิ่ม โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว
ชนิดของคอลลาเจน มี 6 ชนิดที่พบมาก จาก 29 ชนิด
ชนิดที่ 1 (Type 1) เส้นผ่าศูนย์กลาง 80 – 160 นาโนเมตร พบในกระดูก ผิวหนัง เส้นเอ็นกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้อ และผนังหลอดเลือด เมื่อเราโตขึ้นคอลลาเจน Type I ก็จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนที่ Type 3 จนกระทั่งอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ โดยลดลงในอัตรา 1.5% ต่อปี
ชนิดที่ 2 (Type 2) เล็กกว่า 80 นาโนเมตร พบในหมอนรองกระดูก และกระดูกอ่อน
ชนิดที่ 3 (Type 3) คนปกติจะพบในม้าม กล้ามเนื้อ และหลอดเลือดแดงเออต้า แต่ในวัยเด็กเราจะมีคอลลาเจน Type III มากที่สุด ผิวของเด็กจึงดูนุ่มเนียน เต่งตึงสะดุดตากว่าวัยไหนๆ เพราะชนิดนี้จะมีคุณสมบัติให้ความยืดหยุ่นได้ดีเยี่ยม
ชนิดที่ 4 ในเยื่อหุ้มเซลล์ และกล้ามเนื้อ
ชนิดที่ 5 พบในเซลล์ที่ใช้สร้างไข่ของหญิงและเยื่อเซลล์
ชนิดที่ 6 ในกล้ามเนื้อและผิวหนัง
**ชนิด ที่ 4 ,5, 6 พบปริมาณน้อย การสกัดมาใช้ในเครื่องสำอางค์หรืออาหารเสริมจึงลอกเลียนแบบธรรมชาติให้มี ความไกล้เคียงมากที่สุดซึ่งชนิดที่ 1และ3 จะพบค่อนข้างมากและต่อเนื่องตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยหนุ่ม
 Collagen คืออะไร
คอลลาเจน (Collagen) มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกคือ Kolla แปลว่า กาว
     เพราะเป็นโมเลกุลของโปรตีนที่มี Polypeptide 3 สายประกอบกันเป็นเกลียวเส้นใย มีหน้าที่สำคัญในการเชื่อมและยึดจับเซลล์เนื้อเยื่อเข้าด้วยกัน เช่น เส้นเอ็น ข้อต่อกระดูกต่างๆ รวมถึงช่วยเสริมการสร้างเนื้อเยื่อและเส้นเลือด สามารถพบได้ทั่วไปในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม โดยมีปริมาณถึงร้อยละ 33 ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกาย ผิวหนังเราทั้งทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังร่างกาย ต้องสัมผัสกับแดดจ้าฝุ่นควัน พิษ ต่างๆ นาๆ ไม่เว้นแต่ละวัน อันเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวพรรณแห้งเหี่ยว หยาบกระด้าง และเกิดริ้วรอย นอกจากนี้พฤติกรรมการดำเนินชีวิตบางอย่าง เช่น นอนดึกสูบบุหรี่ ดื่มกาแฟ ฯลฯ ยังเป็นตัวการสำคัญที่คอยเร่งให้ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งต้องเสื่อมสภาพก่อน เวลาและวัยอันควรปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อการเหี่ยวย่นของผิวพรรณ ก็คือ คอลลาเจน (Collagen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่มีอยู่ทั่วไปในร่างกายในปริมาณร้อยละ 6 ของน้ำหนักตัว หรือประมาณ 1 ใน 3 ของโปรตีนทั้งหมดที่มีในร่างกายโดยจะอยู่ภายใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ (Dermis) ซึ่งจะประกอบด้วยคอลลาเจนถึง 75%
Collagen เป็นโปรตีนธรรมชาติในร่างกาย มีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ proteoglycan และ glycosamionglycans จัด เป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่น เรียกว่า elastic fiber ซึ่งประกอบไปด้วย amino acid หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ glycene prolene และ hydroxyprolene ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายมากมาย เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก กระดูกอ่อน ข้อ เหงือก ฟัน ตา หลอดเลือด ผิวหนัง เนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments) เส้นผม เล็บ  ตลอดจนผนังหลอดเลือด จึงทำให้มีบางคนเรียก คอลลาเจน (collagen) ว่า กาวแห่งชีวิตเพราะทำหน้าที่เชื่อมเซลล์และอวัยวะต่างๆ ในร่างกายเข้าด้วยกันรวมทั้งปกป้องอวัยวะภายในร่างกายให้อยู่ด้วยกันในผิว หนังชั้นหนังแท้ นอกจากนี้ คอลลาเจน (collagen) ยังมีส่วนช่วยเสริมสร้างความเรียบตึงของผิวหนังทำให้ผิวแข็งแรงและเรียบ เนียน โดยจะทำหน้าที่คู่กับโปรตีนที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งคือ อีลาสติน (Elastin) ซึ่งช่วยสร้างความยืดหยุ่นให้กับผิวและทำให้ผิวไม่มีริ้วรอย ดังนั้นในปัจจุบันเราจึงมักจะพบเห็นหรือได้ยินการกล่าวถึง คอลลาเจน (collagen) กันอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในแวดวงความสวยความงาม
การ สังเคราะห์คอลลาเจนเกิดในชั้นผิวหนังแท้ (Dermis) ซึ่งมีเซลล์ชื่อไฟโบรบลาสท์(Fibroblast) กระจายอยู่ทั่วและทำหน้าที่ผลิตสารสำคัญต่อผิว 3 ชนิดคือ 1.คอลลาเจน (Collagen) ช่วยให้ผิวตึง กระชับ  2.อิลาสติน (Elastin) ช่วยให้ผิวมีความยืดหยุ่น และ 3.กรดไฮยาลูโรนิค (Hyaluronic Acid) ช่วยทำให้ผิวชุ่มชื้น เอิบอิ่ม โดยรวมแล้วในชั้นผิวหนังแท้จะมีคอลลาเจนเป็นส่วนประกอบมากที่สุดถึง 75% เลยทีเดียว
Collagen มีกี่แบบ
ในปัจจุบันแบ่งคอลลาเจนออกเป็น 29 รูปแบบ แต่มากกว่า 90% ของคอลลาเจนใน   ร่างกายจะมีอยู่ใน 4 รูปแบบต่อไปนี้
ในวัยเด็กเราจะมีคอลลาเจน Type III มากที่สุด ผิวของเด็กจึงดูนุ่มเนียน เต่งตึงสะดุดตากว่าวัยไหนๆ แต่เมื่อเราโตขึ้นคอลลาเจน Type I ก็จะถูกสังเคราะห์ขึ้นมาแทนที่ จน กระทั่งอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจนในร่างกายจะเริ่มเสื่อมสภาพลงเรื่อยๆ โดยลดลงในอัตรา 1.5%  ต่อปี เมื่อมีการสูญเสียคอลลาเจนมากกว่าการผลิตขึ้นใหม่ ผิวหนังจึงขาดความกระชับตึงและยุบตัวลงมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวพรรณแห้งกร้านตามมา
นอกจากการเสื่อมสลายไป ตามธรรมชาติแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้คอลลาเจนเสื่อมเร็วขึ้น เช่น รังสียูวีจากแสงแดด บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารปนเปื้อนในอาหาร อนุมูลอิสระ และการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน เป็นต้น
Collagen กับสุขภาพ
เนื่องจาก คอลลาเจน เป็นส่วนประกอบของกระดูก เอ็น และเนื้อเยื่อ ที่ทำหน้าที่ยึดเหนี่ยว ส่วนต่างๆ ในร่างกาย นักวิจัยจึงเชื่อว่าการที่ร่างกายมีคอลลาเจน อย่างเพียงพอจะช่วยลดอาการของโรคข้อต่ออักเสบ รวมถึงช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าวได้โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในภาวะเสี่ยง เช่น นักกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายหนักๆ เป็นต้น ทั้งนี้การรับประทานคอลลาเจนอาจเรียกได้ว่าแทบไม่ต่างกับการรับประทานอาหาร ประเภทโปรตีน แต่เนื่องจากร่างกายคนเรามีปัจจัยแตกต่างกัน เช่น เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายจะดูดซึมสารอาหารไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้น้อยลง หรือไลฟ์สไตล์เร่งรีบที่ทำให้คนเรามีความเครียดสูง ต้องเผชิญกับมลพิษรอบตัว ไม่มีเวลารับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ฯลฯ ก็ล้วนทำให้ร่างกายมีคอลลาเจนไม่เพียงพอกับความต้องการได้ทั้งสิ้น  การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อทดแทนในส่วนที่ขาดจึงได้รับความนิยม มากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีขั้นตอนการย่อยน้อยกว่าเนื้อสัตว์
Collagen กับผิวพรรณ
นอกจากคอลลาเจนจะถูกนำมาใช้ในทางการแพทย์ เช่น ลดการอักเสบของผิวหนัง ใช้เป็นไหมละลายในการผ่าตัด ใช้เป็นสารบุร่องเหงือกและใช้เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อแล้ว ในวงการผิวพรรณและความงามก็นำคอลลาเจนมาใช้เป็นส่วนประกอบอย่างแพร่หลายเช่น กัน อาทิ สกินแคร์ที่มีสารไมโครคอลลาเจน (Microcollagen) และวิตามินซีช่วยกระตุ้นการทำงานของเซลล์ไฟโบรบลาสท์ หรือ การฉีดคอลลาเจนเข้าสู่ผิวโดยตรง (Collagen Replacement Therapy)  ซึ่งทำให้ผิวเรียบตึงขึ้นได้ทันตา แต่ต้องฉีดซ้ำทุกๆ 6 เดือน และอาจมีผลข้างเคียงบางประการ เช่น เกิดตุ่มนูนเรื้อรังจากการฉีดในปริมาณมากเกินไป หรือเกิดอาการแพ้คอลลาเจนได้ จึงควรทดสอบการแพ้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนฉีดเสมอ
ส่วนในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวสวย นิยมใช้คอลลาเจน Type I ที่สกัดจากปลาทะเล (Bio-marine Collagen) เพราะมีโครงสร้างคล้ายคลึงกับคอลลาเจนในร่างกายมนุษย์มากที่สุด ซึ่งมักนำมาตัดพันธะเคมีด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้มีโมเลกุลเล็กลงและ ง่ายต่อการดูดซึม เรียกว่าไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน (Hydrolyzed Collagen) หรือ คอลลาเจน ไฮโดรไลเสท (Collagen Hydrolysate) ถือเป็นทางหนึ่งที่ช่วยเสริมคอลลาเจนให้ผิวพรรณได้ง่ายขึ้น เพราะในช่วง 2-3 ชั่วโมงแรกของการหลับ ต่อมพิทูอิตารีในสมองจะหลั่งโกรว์ธ ฮอร์โมน (Growth Hormone) สู่กระแสเลือดเพื่อฟื้นฟูส่วนต่างๆ ของร่างกาย หากมีคอลลาเจนเพียงพอก็จะช่วยในการสังเคราะห์โปรตีนเพื่อซ่อมแซมเซลล์ผิวที่ สึกหรอได้ดียิ่งขึ้น และยังมีผลทางอ้อมต่อการลดน้ำหนักไปพร้อมกัน กล่าวคือเมื่อร่างกายมีการสร้างกล้ามเนื้อมากขึ้น ก็จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเผาผลาญไขมันมากขึ้นด้วย การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจึงเป็นทางเลือกที่ง่ายกว่าการรับประทาน อาหารประเภทโปรตีนในปริมาณมากก่อนเข้านอน
Collagen กับตัวช่วย
ยังมีอีกหลายตัวช่วยที่ยืดอายุคอลลาเจนให้อยู่กับเราได้นานขึ้น
รับประทานอาหารอย่างเหมาะสม นอกจากทานอาหารให้ครบ 5 หมู่แล้ว ควรเน้นผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่าง วิตามินซี วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน เพราะมีคุณสมบัติปกป้องและเพิ่มความแข็งแรงให้กับคอลลาเจนและอิลาสตินได้ดี
คงความชุ่มชื่นให้เซลล์ผิว ยิ่งผิวสูญเสียความชุ่มชื่นมากเท่าไหร่ ริ้วรอยถาวรก็ปรากฏเร็วขึ้นเท่านั้น จึงควรชะลอวัยให้ผิวด้วยการใช้มอยส์เจอไรเซอร์เป็นประจำ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของไฮโดรไลซ์ คอลลาเจน โปรคอลลาเจน อิลาสติน เอเอชเอ หรือเรตินอล ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ใช้ชีวิตอย่างพอดี ไม่ว่าจะใช้ผลิตภัณฑ์ดีเพียงไร การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารครบหมู่ และทำจิตใจให้แจ่มใส ก็ยังเป็นวิธียืดอายุคอลลาเจนที่สำคัญที่สุด หากรักษาสมดุลการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมแล้ว สุขภาพดีและผิวพรรณอ่อนเยาว์ก็จะอยู่กับเราไปอีกนานแน่นอน

การสูญเสีย คอลลาเจน (collagen)
น่า เสียดายที่เราพบข้อเท็จจริงว่าคนเรา เมื่อ มีอายุ 25 ปีขึ้นไป คอลลาเจน (collagen) จะเริ่มเสื่อมสภาพลงเพราะอัตราการสังเคราะห์ คอลลาเจน (collagen) ใต้ผิวหนังในชั้นหนังแท้จะลดลงถึง 1.5% ต่อปีและเป็นความโชคร้ายที่จะเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหรือที่เป็นปัญหา เรื่องแก่ก่อนวัยของสาวๆ ซึ่งอัตราการลดลงของ คอลลาเจน (collagen) ในผิวหนังนั้นจะมีผลให้ผิวพรรณค่อยๆ สูญเสียความชุ่มชื้น ยุบตัวลง ผิวที่เคยสวยเต่งตึงก็จะเกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและสัญญาณของความร่วงโรยจะ ค่อยๆ เริ่มขึ้นเมื่ออายุ 30 ปีผิวจะเริ่มหย่อนคล้อยยิ่งอายุเพิ่มขึ้นสัญญาณของความร่วงโรยก็จะเพิ่มเป็น เงาตามตัว
อัตราการเริ่มสูญเสียคอลลาเจน (collagen) เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไป
- อายุ 30-39 ปี ผิวจะเริ่มมีรอยย่นบางๆ ทอดยาวบริเวณหน้าผาก มีริ้วรอยเล็กๆ ใต้ขอบตาล่างและหางตาจะเห็นชัดเวลายิ้มและมีรอยย่นตรงระหว่างคิ้วซึ่งจะเห็น ชัดเวลาหน้านิ่ว มีริ้วรอยบางๆ ที่ร่องแก้มจากจมูกจนถึงเหนือริมฝีปาก อาจเกิดไฝ กระ ฝ้าทั้งแบบลึกและตื้นขนาดของรูขุมขนจะเห็นชัดขึ้น
- อายุ 40-49 ปี รอยย่นบริเวณหน้าผาก ระหว่างคิ้ว ใต้ขอบตาล่างและหางตาเห็นชัดเจนมากขึ้น รอยย่นข้างแก้ม และร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนจดมุมปาก มีฝ้าชนิดลึกมากขึ้นสภาพผิวเริ่มแห้งมีรูขุมขนใหญ่และเริ่มจะเป็นสิวอีก ครั้ง มีติ่งเนื้อขึ้นกระจัดกระจายเป็นตุ่มเล็กๆ สีน้ำตาลภาวะนี้เรียกว่าวัยเริ่มตกกระ
- อายุ 50-64 ปี ผิวจะมีสภาพเหมือนกับวัย 40-49 ปี แต่จะมีรอยย่นตามร่องแก้มลึกทอดยาวไปจนถึงบริเวณใต้มุมปาก มีฝ้าเกิดขึ้นและติ่งเนื้อมีขนาดใหญ่ขึ้น
- อายุ 65 ปี ขึ้นไปผิวหนังหยาบกร้าน มีริ้วรอยทั่วหน้า ริมฝีปากบางมีรอยย่นเหนือริมฝีปาก ส่วนการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ คล้ายกับวัย 50-64 ปี
ดัง นั้นจึงถือว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติที่ ต้องเกิดขึ้นกับ ทุกคนโดยที่เราไม่สามารถหยุดยั้งได้ แต่เราสามารถช่วยชะลอความเสื่อมของผิวพรรณและรักษาผิวไว้ให้ดูดีให้นานที่ สุดได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้ สารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เพื่อทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป
การทดแทน คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไป
การ นำสารสกัดโปรตีน คอลลาเจน (collagen) เข้าสู่ร่างกายเพื่อผลในการบำรุงผิวและลดริ้วรอยนั้นปกติทำได้ 2 วิธีคือ การฉีดเข้าใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้และการรับประทานในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) เป็นโปรตีนที่มีโครงสร้างโมเลกุลใหญ่มากดังนั้นจึงไม่สามารถซึมผ่านผิวหนัง ได้ด้วยการทา ซึ่งครีมบำรุงผิวต่างๆ ตามท้องตลาดที่มีส่วนผสมของ คอลลาเจน (collagen) ก็จะเป็นเพียงการผลัก คอลลาเจน (collagen) ให้เข้าไปอยู่ได้แค่ชั้นผิวหนังกำพร้า แต่เนื่องจาก คอลลาเจน (collagen) มีคุณสมบัติอุ้มน้ำไว้ได้ประมาณ 30 เท่าของน้ำหนักจึงทำให้ผิวชั้นหนังกำพร้าชุ่มชื้นขึ้นเท่านั้นจึงไม่สามารถ แก้ไขปัญหาริ้วรอยได้อย่างเป็นรูปธรรม และหากจะเปรียบเทียบระหว่างการฉีดคอลลาเจน (collagen) เข้าใต้ผิวหนังกับการรับประทานแล้ว จะพบว่า วิธีการรับประทานนั้นง่ายและสะดวกมากกว่าการฉีด ซึ่งค่อนข้างยุ่งยากมีค่าใช้จ่ายสูงและต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญ
นอก จากนี้การรับประทานนั้นยังเป็นการนำ คอลลาเจน (collagen) เข้าไปเสริมสร้างทั้งส่วนของผิวหน้าและผิวพรรณทั่วร่างกาย โดยผลการวิจัยด้านโภชนาการได้ค้นพบว่า การรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนประกอบของสารที่สกัดจากโปรตีนของ ปลาทะเลน้ำลึกบางประเภทที่มีโครงสร้างทางโมเลกุลคล้ายกับโครงสร้าง คอลลาเจน (collagen) ของผิวคนเรา โดยวิธีการ Enzymatic Hydrolysis เป็นประจำอย่างต่อเนื่องนั้น สามารถช่วยเสริมสร้าง คอลลาเจน (collagen) ที่สูญเสียไปตามวัยที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งช่วยปกป้องและชะลอริ้วรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกา ความแห้งกระด้าง ช่วยให้ผิวพรรณมีความชุ่มชื้น นุ่มนวล คงความยืดหยุ่นของผิวไว้ได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงเล็บและเส้นผมให้มีสุขภาพดีได้อีกด้วย
บุคคลใดควรรับประทาน คอลลาเจน (collagen)
คอ ลลาเจน (collagen) เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาความอ่อนเยาว์และบำรุงผิวพรรณที่ถูกทำลายหรือ เสื่อมสภาพลงเนื่องจากวัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหญิงและชายที่มีอายุมากกว่า 25 ปีขึ้นไปและควรศึกษาคำเตือนบนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ก่อนการรับประทาน
มิติใหม่ของการนำ Collagen มาใช้ประโยชน์
โดย ภก.ประวิทย์ ตันติสุวิทย์กุล
ที่ปรึกษาองค์การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการสาธารณสุข
ที่มา : วารสารสมาคมเภสัชกรรมชุมชน (ประเทศไทย) ฉบับที่ 27 สิงหาคม 2549
Collagen ก็คือโปรตีนชนิดหนึ่งที่มีส่วนประกอบเป็นกรด amino ชนิดที่แตกต่างจากโปรตีนอื่นๆ ของร่างกาย มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ซึ่งหมายถึง กาวโดยคนในยุคนั้นนิยมนำหนังสัตว์ไปเคี่ยว เพื่อให้ได้กาวเหนียวๆนี้มาใช้งาน
Collagen เป็นโปรตีนธรรมชาติในร่างกาย มีสารสำคัญ 2 ชนิด คือ proteoglycan และ glycosamionglycans จัดเป็นโปรตีนเนื้อเยื่อเส้นใยชนิดหนึ่งที่มีความยืดหยุ่น เรียกว่า elastic fiber ซึ่งประกอบไปด้วย amino acid หลายชนิด ที่สำคัญ ได้แก่ glycene prolene และ hydroxyprolene ที่มีความสำคัญยิ่งต่ออวัยวะต่างๆ ในร่างกายมากมาย เช่น กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก กระดูกอ่อน ข้อ เหงือก ฟัน ตา หลอดเลือด ผิวหนัง และเนื้อเยื่อที่เกี่ยวกับการยึดเหนี่ยว (ligaments)
Collagen นี้จะช่วยให้โครงสร้างของร่างกายแข็งแรง มีหน้าที่ในการป้องกันอวัยวะต่างๆในร่างกาย และเชื่อมอวัยวะต่างๆให้อยู่ด้วยกัน ทำให้มีความยืดหยุ่นดี เช่น ช่วยให้ข้อต่อต่างๆ ขยับหรือเคลื่อนไหวไปมาไม่ติดขัด โดยเฉพาะจำเป็นต่อเนื้อเยื่อของกระดูกอ่อนบริเวณข้อในการรับน้ำหนักและขยับ เคลื่อนไหวไปมาในอิริยาบถต่างๆ เช่น เดินหรือวิ่ง เป็นต้น โดยในร่างกายของคนเราพบว่ามีโปรตีนอยู่มากมาย แต่มีประมาณ 33% ของโปรตีนทั้งหมดในร่างกายจะเป็น collagen และยังเป็นองค์ประกอบถึงร้อยละ 75 ของผิวหนัง จึงเป็นตัวที่ช่วยให้ผิวหนังหรือผิวพรรณเกิดความชุ่มชื้น นุ่มนวล ดูสดใส กระชับและเต่งตึงขึ้น ซึ่ง collagen ที่พบในส่วนของผิวนี้จะพบที่ชั้นหนังแท้ (dermis) ซึ่งเป็นผิวชั้นที่ 2 ที่อยู่ใต้ชั้นหนังกำพร้าและเป็น collagen ชนิดที่ 1,3 และ 4 แต่ถ้าเป็นชนิดที่พบในกระดูกอ่อนตรงข้อ จะเป็น collagen ชนิดที่ 2
ระดับ ของ ปริมาณ collagen ในร่างกายจะลดลงเมื่ออายุมากขึ้น คือ เมื่ออายุย่างเข้า 30 ปี อัตราการสร้างหรือสังเคราะห์ collagen จะเริ่มลดลงปีละ 1.5% ในทุกๆปี และจะเกิดในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเมื่อระดับของ collagen ลดลง ก็จะทำให้ความยืดหยุ่นและสภาพความแข็งแรงของโครงสร้างอวัยวะต่างๆของร่าง กายลดลงด้วย ช่วงที่ collagen ในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ร่างกายก็จะเริ่มสูญเสียความแข็งแรงของผิวหนัง กระดูก กระดูกอ่อน ตรงข้อต่อ ที่เป็นสามเหตุของปัญหาโรคข้อเสื่อมตามมา จนเกิดปัญหาปวดข้อ ข้อฝืด ข้อแข็ง ข้อผิดรูป และข้ออักเสบ เป็นต้น ในส่วนของผิวหนังก็จะเกิดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และรอยตีนกาเกิดขึ้น
ใน เวลาต่อ มาจึงได้มีการนำสารสกัด collagen มาใช้ประโยชน์ในรูปของ collagen hydrolysate คือ มีชนิดที่สกัดมาเพื่อใช้สำหรับบำรุงผิว ลดริ้วรอยต่างๆ กับอีกชนิดหนึ่งที่สกัดมาเพื่อใช้สำหรับบำรุงข้อ ซึ่งทั้ง 2 ชนิดนี้จะแตกต่างกัน โดยได้มีการศึกษา ค้นคว้า และทดลองสกัดสาร collagen ชนิดที่ 2 จากกระดูกอ่อนของหมูในรูปของผง แล้วนำมาใช้ประโยชน์ในโรคข้อเสื่อม ผลก็คือเมื่อให้รับประทานวันละ 10 กรัม เป็นเวลา ต่อเนื่องกัน 3 เดือนขึ้นไป พบว่าไม่เพียงแต่ collagen hydrolysate จะสามารถเข้าไปทดแทนในเนื้อเยื่อกระดูกอ่อนได้ ยังมีคุณสมบัติไปกระตุ้นให้มีการสังเคราะห์ collagen type 2 ที่เป็นส่วนประกอบสำคัญในกระดูกอ่อนตรงข้อต่อเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย พร้อมๆกับอาการปวดข้อและข้อยึดนั้นลดน้อยลงได้ เมื่อรับประทาน collagen hydrolysate ตั้งแต่ 2 สัปดาห์ขึ้นไป คือ จะช่วยทำให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น นอกเหนือจาก collagen hydrolysate ช่วยลดปัญหาเรื่องข้อเสื่อมได้แล้ว ยังมีประโยชน์ในผู้ที่มีปัญหาเรื่องกระดูก เช่น ในผู้หญิงวัยทองที่จำเป็นจะต้องเสริม calcium และจำเป็นต้องใช้ยาที่ป้องกันการสลายตัวของ calcium จากกระดูกพบว่า collagen มีส่วนช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น และลดการสลาย calcium จากกระดูกได้ดีกว่าการใช้ยา
แต่ เพียง อย่างเดียวเท่านั้น จึงเป็นมิติใหม่อีกมิติหนึ่งของการนำ collagen hydrolysate มาใช้ประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องของข้อเสื่อมนอกเหนือจากเรื่องของผิวได้
ดัง นั้น การที่จะรับประทาน collagen hydrolysate ชนิดไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ว่าจะใช้ประโยชน์กับส่วนไหน เช่น ผิว หรือ ข้อ เพราะจะเป็น collagen ที่แตกต่างกัน เนื่องจากที่ผิวหนังจะเป็น collagen ชนิดที่ 1 ,3 และ 4 ส่วนที่ข้อจะเป็นชนิดที่ 2 อีกทั้งส่วนประกอบสำคัญของข้อ จะแตกต่างจากผิวและอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย คือ จะประกอบไปด้วยน้ำ 60% proteoglycan 10% และ collagen ชนิดที่ 2 30% รวมทั้งจะแตกต่างกันทั้งขนาดและปริมาณที่จะรับประทานเพื่อให้เกิดผลตามที่ ต้องการด้วย

วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

การกำจัดเซลลูไลท์

หากคุณเป็นคน หนึ่งที่กำลังมองหาอาวุธเพื่อนำมาต้องสู้กับเซลลูไลท์แล้วละก็ คุณมาได้ถูกที่แล้วเพราะบทความนี้จะนำเสนออาวุธที่มีประสิทธิภาพในการต้อง สู้กับปัญหาจุกจิกกวนใจคุณผู้หญิงทั้งหลายที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่

"เซลลูไลท์" หรือที่หลายคนเรียกว่า ผิวเปลือกส้ม เป็นก้อนไขมันตะปุ่มตะป่ำใต้ผิวหนัง ผู้หญิงเกือบ 9 คนใน 10 คน จะพบว่ามีเซลลูไลท์ เช่น บริเวณต้นขา สะโพก ท้อง และต้นแขน ปัจจุบันคุณผู้หญิงหลายคนยอมเสียเงินเพื่อซื้อหาผลิตภัณฑ์ในการกำจัดเซล ลูไลท์ตั้งแต่การซื้อหาครีมมาทาจนถึงการผ่าตัดซึ่งมีความเสี่ยงสูง
เซลลูไลท์คืออะไร? เซลลูไลท์เกิดขึ้นเมื่อก้อนไขมันผลักดันเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังขึ้นมา ซึ่งจะพบเห็นได้ชัดเจนในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงมีผิวหนังบางกว่า และมีไขมันหนากว่าผู้ชาย  
ใน ขณะที่ยังไม่พบวิธีการกำจัดเซลลูไลท์ไปได้อย่างสิ้นซาก เรามาลองดูวิธีที่จะช่วยลดก้อนไขมันตะปุ่มตะป่ำใต้ผิวหนังลงทำให้คุณผู้หญิง สามารถสวมใส่ชุดว่ายน้ำด้วยความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

การรับประทานอาหารเพื่อลดเซลลูไลท์

  • หลีกเลี่ยงการรับประทานเกลือและน้ำตาลทรายในปริมาณที่มากเกินไป
ขั้น แรกให้หลีกเลี่ยงน้ำตาลมากเกินไปเพราะจะทำให้เกิดเซลล์ไขมันและจะไปขยายเซลลูไลท์เพิ่มขึ้น  ประการที่สองลดปริมาณเกลือเพราะโซเดียมเป็นสาเหตุทำให้เซลลูไลท์จะปรากฏชัด ขึ้น ปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันคือน้ำตาลไม่ควรเกิน 6 ช้อนชาและหลีกเลี่ยงอาหารที่มีส่วนผสมของโซเดียมที่มีมากกว่า 200 มิลลิกรัม
  • ดื่มน้ำเป็นประจำวันละ 8-10 แก้ว
น้ำ จะช่วยล้างสารพิษออกที่ซ่อนตัวอยู่ในชั้นไขมันใต้ผิวหนัง  ขบวนการไฮเดรชั่น (Hydration) ซึ่งเป็นขบวนการที่น้ำเข้าไปรวมตัวอยู่ในโมเลกุลของสารประกอบ ดังนั้นไฮเดรชั่นจะทำงานทำให้เซลลูไลท์ดูเป็นก้อนน้อยลง
  • รับประทานสาหร่ายทะเล
สาหร่าย ทะเลมี Fucoxanthin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระพบตามธรรมชาติในพืชสีเขียวที่มีคลอโรฟิลซึ่งช่วยใน การเผาผลาญไขมันในร่างกาย ดังนั้นจึงสามารถลดเซลลูไลท์ได้

การใช้ครีมเพื่อขจัดเซลลูไลท์

  • ครีม Aminophylline ซึ่งเป็นยาขยายหลอดลม  รักษาโรคหอบหืด และถุงลมโป่งพอง ยาชนิดนี้มีผลยับยั้งตัวรับอะดีโนซีนทำให้เกิดการสลายไขมันได้ ดังนั้นจึงมีการใช้ยา Aminophylline เป็นยาครีมนวดสลายไขมัน โดยยาจะซึมผ่านผิวหนังและไปทำให้เกิดการสลายไขมันในเซลล์ใต้ผิวหนัง
  • ครีม Retinol ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอชนิดต่างๆ ที่ช่วยรักษาผิวเรียบเนียนและทำให้เซลลูไลท์มองเห็นได้ไม่ชัดเจน
เซล ลูไลท์ไม่สามารถกำจัดออกไปได้อย่างถาวร มีแต่วิธีที่จะลดการปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนได้ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีราคาแพงหรือการรักษาที่มี ความเสี่ยงสูง ลองใช้อาวุธที่กล่าวมาเพื่อรับมือกับเซลลูไลท์อย่างมีประสิทธิผลดูก่อน

ข้อมูลจาก oknation.net 
 

วันพุธที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

อาหารเสริมลดน้ำหนัก Capsiplex กับการลดน้ำหนัก ที่ได้ผล

อาหารเสริมลดน้ำหนัก Capsiplex กับการลดน้ำหนัก ที่ได้ผล

 1 ทาน Capsiplex ถ้าเลิกทานแล้วจะโยโย่ไม๊

ขอบตอบเลยว่า ไม่โยโย่แน่นอน 100% ค่ะ เพราะ Capsiplex ไม่ใช่ ยาลดความอ้วน เป็นเพียงอาหารเสริมที่มี ตัวช่วย ในการลดน้ำหนัก เพื่อช่วยระบบการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่..... เมื่อหยุดทานแล้วก็ต้องควบคุมการทานอาหารนะคะ ถ้าทานเหมือนเดิมก็จะอ้วนอยู่แล้วค่ะ แต่ไม่ใช่ผลจากการหยุด Capsiplex แต่เป็นผลจากการทานของเราเองและไม่ออกกำลังกาย อาหารเสริมลดน้ำหนักทุกชนิด ทุกยี่ห้อ  เป็นตัวช่วยเท่านั้น คุณลูกค้าควรควบคุมอาหาร ควบคุมการทานของตนเอง และออกกำลังกายไปด้วย จะเห็นผลเร็วคะ และถ้าอยากลดน้ำหนักได้อย่างถาวร ควรปรับการทานและเพิ่มการออกกำลังในชีวิตประจำวันด้วยนะคะ

2  Capsiplex จะมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง เช่น นอนไม่หลับ มึน คลื่นไส้ อารมณ์หงุดหงิด 

Capsiplex ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตปกติประจำวัน ผู้ทาน capsiplex สามารถนอนหลับได้เหมือนเดิม จะไม่มีอาการปวดหัว มึน เพราะ capsiplex ไม่มีสารกดประสาทให้ไม่หิว


3  Capsiplex สามารถทานอาหารได้เหมือนเดิมปกติเลยหรือเปล่า 

Capsiplex เป็น อาหารเสริมที่ช่วยเร่งการเผาผลาญให้เพิ่มมากขึ้น นั่นคือ ถ้าเราช่วยลดอาหาร capsiplex จะช่วยให้ดึงไขมันที่สะสมไว้มาใช้ แต่ถ้าคุณลูกค้าทาน capsiplex แล้วทานอาหารเหมือนเดิม เหมือนปกติ capsiplex ก็อาจจะแค่ เอาพลังงานที่เพิ่มเข้าไปใหม่ไปใช้ อาจจะแค่ทำให้ไม่อ้วนขึ้น น้ำหนักไม่เพิ่ม แต่ ถ้าเราสามารถทานน้อยลง น้อยกว่าที่เราจะใช้พลังงาน ร่างกายเราจะดึงไขมันเกามาใช้ ทำให้เราน้ำหนักลดลง Capsiplex เป็นตัวช่วยนะคะ ถ้าลดอาหารและออกกำลังกายเพิ่มด้วย ช่วงระยะที่เราต้องใช้อาหารเสริมเพื่อลดน้ำหนักก็จะสั้นลง  


Capsiplex
ส่วนประกอบสำคัญ :
Capsule Serving Properties 500 mg
- Caffeine Anhydrous 138 mg.
- Capsicum Annun L. 80.34 mg
- Niacin 16 mg
- Piperine (extract of piper nigrum) 5 mg
- Brown Rice Flour & Magnesium
- Stearate

วิธีทาน : วันที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ทานวันละ 1 แคปซูล ก่อนมื้อเช้า
วันที่ออกกำลังกาย ทานวันละ 1 แคปซูล ก่อนออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง


Capsiplex PLUS  มีการเพิ่มอัตราการเผาผลาญของร่างกายที่มากขึ้น

Capsule Serving Properties 500 mg
- 5-HTP 200 mg
- Vitamin C 200 mg
- Vitamin B6 15 mg
- Bioperine 5 mg

วิธีทาน : เม็ดสีแดง
วันที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ทานวันละ 1 แคปซูล ก่อนมื้อเช้า 

วันที่ออกกำลังกาย ทานวันละ 1 แคปซูล ก่อนออกกำลังกายครึ่งชั่วโมง

วิธีทาน : เม็ดสีฟ้า
ทานวันละ 1 แคปซูล แนะนำก่อนนอน เพื่อผลลัพธ์ที่ดีควรทานต้องท้องว่าง


Capsiplex Appetite Suppressant
ลดความอยากอาหา
Capsiplex Appetite Suppressant อาหารเสริมช่วยลดความอยากอาหาร 

เหมาะสำหรับผู้ที่ชอบทานของจุกจิก
 

เสื้อผ้าแบบไหน เข้ากับสาวรูปร่างอย่างคุณ

สาวๆ ทั้งหลาย อย่าเครียดไปกับเรื่องหุ่นของคุณนะคะ เพราะเราไม่ใช่นางแบบจะให้รูปร่างดี เพอร์เฟ็คเหมือนกันหมดทุกคนก็ไม่ได้ หลายๆคนพยายามหาวิธีลดน้ำหนัก ทำแล้วได้ผลบ้างไม่ได้บ้างก็มีอย่ากังวลไปค่ะ การที่เราใส่เสื้อผ้าแบบพวกดาราหรือคนหุ่นดีๆไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าความสวยของเราจะหมดไป เพราะโยพิ แม็กกาซีนนำเคล็ดลับการใส่เสื้อผ้าแบบที่เหมาะกับตัวคุณมาฝาก รับรองว่าหากคุณได้ใส่เสื้อผ้าที่เข้ากันกับรูปร่างของคุณแล้ว ก็สวยไม่แพ้ใครแน่ค่ะ

 Apple
คำจำกัดความ ของหุ่นแบบนี้ คือ กลมเหมือนถ้วยหรือเหมือนลูกแอ๊ปเปิ้ลนั่นล่ะค่ะ อย่าคิดนะคะว่าการปิดบัง อำพรางรูปร่างด้วยเดรสหรือแซกที่ใช้ผ้าเป็นหลาๆ หรือกางเกงยีนส์ฟิตหุ่นจะเหมาะกับคุณ คุณควรเลือกใส่เสื้อผ้าแยกชิ้นที่โชว์ส่วนเว้าส่วนโค้ง เช่น กางเกงผ้าหรือเดนิมขาบาน กระโปรงผ้าลื่นๆหรือพริ้วๆแค่เข่า รองเท้าส้นเตารีดแบบส้นบางที่หุ้มส้นจะดีที่สุดค่ะ
    
 Hour Glass
หรือนาฬิกาทราย ขอให้คุณนึกถึงสาวทรงเสน่ห์ตลอดกาลอย่างมาริลีน มอนโรล เพราะคนที่มีหุ่นอย่างสาวคนนี้ต้องมีอกใหญ่ เอวคอด สะโพกใหญ่ ข้อดีอยู่ที่อกของคุณสมส่วนกับสะโพกก็จริงแต่การใส่เดรสสม็อคใต้อกจะทำให้ คุณรู้สึกเหมือนคนท้อง รองเท้าส้นเข็มก็ไม่เข้าค่ะ เพราะทำให้คุณดูตัวใหญ่กว่ารองเท้า ควรเลือกรองเท้าที่โชว์นิ้วเท้า ส้นสูงธรรมดาๆก็พอ เสื้อผ้าที่เหมาะกับสาวหุ่นเซ็กซี่แบบนี้ได้แก่ เสื้อคอวีขนาดพอดีตัวเป็นเสื้อคาร์ดิแกนหรือเสื้อผ้ายืดก็ได้ค่ะ กระโปรงสอบเข้ารูปเหมือนดินสอ ถ้าจะให้ดีใส่เดรสหรือกระโปรงก็อาจนำเข็มขัดมาคาดตรงช่วงเอวเน้นส่วนโค้งให้ ชัดขึ้นค่ะ
          
Skittle
สาวพินโบว์ลิ่ง เสื้อผ้าทรงตรงจะช่วยให้คุณดูเพรียวขึ้น ไม่จำเป็นต้องหาเสื้อผ้ามาปิดบั้นท้ายของคุณ แค่หามาเติมส่วนบนก็เก๋กู๊ดแล้ว สาวหุ่นแบบนี้มีจุดด้อยเรื่องอกเล็กกว่าสะโพก แต่ก็ไม่เป็นปัญหาหรอกค่ะ เพราะคุณสามารถพรางด้วยการเพิ่มหรือเน้นส่วนบนเป็นพิเศษ เสื้อแบบรูดที่ไหล่หรือเสื้อไหล่กว้างๆหน่อยก็โอเคแล้ว
           
Vase
หุ่นแบบแจกันแย่กว่าหุ่นแบบพินโบว์ลิ่ง เล็กน้อยเรื่องเอวค่ะ เพราะคุณจะไม่ค่อยมีเอว ดังนั้นการใส่เสื้อผ้าที่ช่วยเน้นส่วนโค้งบริเวณเอว เช่น เสื้อคอกว้างหรือแจ๊กเก็ตติดกระดุมใต้อก กับกระโปรงเอวปกติหรือเอวสูง หรือเดรสจับจีบที่เอวลงไปถึงสะโพกเหมาะกับคุณแน่นอนค่ะ
         
 Cornet
เป็นรูปร่างแบบสามเหลี่ยมเหมือนโคนไอศครีม สาวรูปร่างแบบนี้จะมีไหล่ค่อนข้างกว้าง สะโพกแคบหรือไม่มีก้น เหมือนกับเด็กสาววัยแรกรุ่นหรือทอม แทนที่จะใส่เสื้อเชิ้ต เสื้อกล้าม กางเกงยีนส์ธรรมดา ลองหันมาเล่นกับยีนส์รัดรูปขาเดฟหรือขากระบอกโชว์ส่วนล่างหรือเน้นสะโพกของ คุณ ใส่เดรสแขนกุดหรือแขนสั้นเลยเข่าจับจีบใต้อกเล็กน้อยเพื่อเสริมส่วนอก
 

         

 Lollipop
สาวหุ่นแบบนี้มีค่าเหมือนเฟอร์รารี่เชียว เพราะดาราส่วนใหญ่มักมีรูปร่างเพรียวบางเหมือนอมยิ้ม ซึ่งค่อนข้างเหมาะกับเสื้อผ้าหลายแบบ กางเกงขาสั้นเอวสูงกับเสื้อรัดรูป ยีนส์หรือกางเกงผ้าขาม้า เดรสกึ่งราตรี สิ่งสำคัญคือ การเลือกเสื้อหรือเดรสที่ให้จุดสนใจไปที่หน้าอกเป็นพิเศษจะช่วยเพิ่มเสน่ห์ ให้คุณอีกมากค่ะ รองเท้าส้นสูงประเภทส้นเข็มหรือส้นเล็กๆทั้งหลายน่าจะเข้ากับคุณที่สุด   
        

Column
หุ่น ต้นเสา ถ้าใครว่าคุณเช่นนี้ก็อย่าน้อยใจไปค่ะ เพราะการที่คุณไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ชัดเจน ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะหาจุดสนใจไม่ได้เอาซ่ะเลย หากคุณใส่เสื้อเชิ้ตจับจีบกับกระโปรงพลีตหรือกระโปรงจีบรอบ หรือพวกเดรสชีฟองเข้ารูปกับส้นสูงที่เข้ากั๊นเข้ากันได้แล้ว คุณก็ดูดีไม่แพ้นางแบบเลยละค่ะ 
   
          
Bell
 หรือหุ่นแบบระฆัง ฟังแล้วอาจจะไม่ชอบพอเท่าไหร่ แต่คุณก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยอมรับว่า ช่วงเอวและสะโพกที่กว้างออกทำให้คุณดูเหมือนมีห่วงยางประจำตัวไปไหนมาไหน ด้วยตลอดเวลา ไม่ต้องห่วงค่ะ แค่คุณหาเดรสหรือแซก กระโปรงสีเข้มๆที่ไม่เข้ารูปมาใส่ก็สวย เริ่ด เชิดหยิ่งได้เหมือนกัน
           

Globlet
 สาวช่วงบนใหญ่อย่างคุณ ไม่ต้องเสียความมั่นใจไปค่ะ การมีอกใหญ่ก็ถือว่าเป็นจุดเด่นที่คุณไม่ต้องหาอะไรมาเสริม เพียงแต่เพิ่มข้างล่างให้พอดีกับข้างบนก็พอค่ะ ลองหาซื้อหรือหยิบ เสื้อคอวีคอลึกซักครึ่งอก กระโปรงเหนือเข่า กับส้นสูงโชว์เรียวขางามๆของคุณ มาใส่ก็คงงามไม่แพ้ใครแน่ๆ
          
Cello
 อวบอึ๋มแบบสาวเชลโล่ มีปัญหาตรงที่ว่า คุณต้องหาเสื้อผ้าประเภทที่พรางสะโพกใหญ่ๆให้ได้แค่นั้น รองเท้าส้นเตารีดเป็นสิ่งแรกที่ช่วยสร้างเสน่ห์ให้คุณค่ะ ถ้าใส่เสื้อคอวีกับกระโปรงเข้ารูปครึ่งสะโพก ก็จะทำให้สะโพกที่ดูมากมายของคุณดูเล็กลงได้พอดีๆกับหน้าอก ข้อควรระวังคือ อย่าเพิ่มช่วงบนให้ดูใหญ่ขึ้นนะคะ เพราะอกของคุณไม่ได้เล็กเหมือนสาวพินโบว์ลิ่งหรือไม่มีหุ่นเลยแบบตันเสา ทื้อๆสักหน่อย คุณแค่มีช่วงสะโพกกว้างกว่าอกก็เท่านั้น
         

Pear
หรือหุ่นแบบลูกแพร์หรือชมพู่ หุ่นแบบนี้จะน่าหนักใจกว่าหุ่นแบบเชลโล่อีกค่ะ เพราะตั้งแต่เอวจนถึงสะโพกของคุณลงไปออกจะผายออกมากอย่างเห็นชัด คุณควรหลีกเลี่ยงกางเกงหรือเดรส/แซกที่มีกระเป๋าข้างเด็ดขาดค่ะ หากางเกงผ้าแบบเรียบๆ กระโปรงหรือเดรส/แซกที่มีผูกเอว รองเท้าที่แนะนำขอเป็นบู๊ททรงตรงเก๋ๆสักคู่ หรือรองเท้าหุ้มส้นหัวแหลมๆ
           
Brick
 อย่าเพิ่งคิดว่าคุณดูแย่นะคะ หุ่นก้อนอิฐไม่ได้แปลว่า ก้นหลีบๆ เอวหาย ไหล่กว้าง เหมือนนักว่ายน้ำโอลิมปิก จะทำลายความสวยของคุณ แนะนำให้ลองใส่กระโปรงพลีตแบบเก็บช่วงสะโพก ปล่อยบานช่วงก้น และหารองเท้าที่มีลักษณะเว้าโค้งชัดๆ แค่นี้ก็น่าจะพอค่ะ
           
        แต่ยังไงก็ควร ดูตามความชอบของคุณด้วยล่ะ ถ้าคุณไม่ชอบ คิดว่าไม่เหมาะกับคุณ ไม่เป็นตัวคุณ ก็สามารถประยุกต์เอาตามความเหมาะสมหรือความถนัดได้เลยเราไม่ว่ากันอยู่ แล้ว ถ้าให้ดีก็ลองมาแบ่งปันเคล็ดลับของคุณให้เราได้นะคะ

ที่มา โยพิ แม็กกาซีน

28 สิ่งกินอัพลุคเป็นสาวสุขภาพดี

สาวๆ จ้าเรามาเปลี่ยนการกินจั๊งฟู้ดหรือฟาสต์ฟู้ดที่นอกจากจะเสียสุขภาพและอ้วน แล้ว ยังดูไม่มีไลฟ์สไตล์เอาซะเลย หันมาใส่ใจกับการกินเล็กๆ น้อยๆ ของเรา ที่คิดเรื่องสุขภาพแถมยังลดน้ำหนักไปด้วย แล้วยังดูอินเตอร์ อัพลุคเป็นสาวล้ำเรื่องความเฮลธ์ตี้กว่าใครๆ เป็นสูตรลดน้ำหนักที่ดี


14
1. สลัดอะโวคาโด้   จริงอยู่กินผักผลไม้ก็โอเคแล้ว แต่เลือกที่เริ่ดกับร่างกายเรามากกว่าแถมดูไฮโซได้ด้วย จะแจ๋วกว่าไหม ลงทุนอีกนิดลองซื้ออะโวคาโด้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตฝานบางๆ รวมกับผักสลัดดีๆ อย่างเบบี้คอส หรือไอซ์เบิร์ก นักวิจัยจากามหาวิทยาลัยโอไฮโอ บอกว่าการกินอะโวคาโด้แค่เทียบเท่า 3 ช้อนชา จะช่วยให้เราดูซึมอัลฟ่าแคโรทีนมากกว่าคนที่ไม่กิน 8.3 เท่า และได้รับเบต้าแคโรทีนมากกว่า 13.6 เท่า ได้รับลูทีนมากกว่า 4.3 เท่า ทั้งหมดนี้จะช่วยเรื่องสายตาได้ดีที่สุด แล้วลองคิดดูซิว่า ระหว่างการกินสลัดผักกะหล่ำฝอยโฮมๆ ตั้งอยู่ตรงหน้า กับสลัดอะโวคาโด้ อลังการ อย่างไหนจะทำให้เราดูเริ่ดกว่ากัน

2. น้ำมันมะกอก    ซื้อติดห้องครัวไว้ไม่เสียหาย เวลาอยากกินของทอด ใช้น้ำมันมะกอกแทนน้ำมันพืช มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เขาศึกษาพบว่าคนที่ใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารเป็นประจำจะลดความเสี่ยงต่อโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่ได้

3. Cold Cut  สาวๆ กลัวอ้วนที่พยายามหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ติดมัน ลองซื้อแฮมอย่างดี หรือเนื้ออกไก่บดอัดแท่ง ไม่มีมัน โปรตีนสูงมาก ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ แล้วยังดูเป็นสาวปารีเซียงหรูไฮ นั่งกินโคลคัทแสนอร่อยเป็นของว่าง

4. พริกหวาน       ลองกินกับเนื้อสเต็กแล้วราดซอสพริกไทยดำเวิร์คสุด พริกหวานมีวิตามินบี เบต้าแคโรทีน และโปแทสเซียม ซึ่งแต่ละสีก็มีคุณค่าไม่เท่ากัน พริกหวานสีเหลืองจะมีวิตามินมากกว่าพริกหวานสีส้ม 4 เท่า และพริกหวานสีเขียวมีวิตามินน้อยที่สุด

5. อินทผลัม      ผลไม้เริ่ดๆ จากทะเลทรายในตะวันออกกลาง มีฤทธิ์ในการกำจัดสารพิษและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่เป็นสารก่อ มะเร็งในช่องท้องด้วย นักโภชนาการบอกว่า สาวๆที่ชอบกินช็อกโกแลตให้เปลี่ยนมากินอินทผลัมแทน ความหวานแทนกันได้แถมมีประโยชน์กว่ามาก

6. ชาเขียว +เลมอน       มีผลสำรวจว่าจากชาวญี่ปุ่น 40,500 คน สามารถลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจด้วยการกินชาเขียววันละถ้วย อีกผลการศึกษาหนึ่งย้ำว่า ยิ่งใส่น้ำมะนาวลงไปด้วย จะช่วยดูดซึมแอนติออกซิแดนท์ได้มากขึ้น 13 เท่า ส่วนเราขอบอกว่าจิบชาสวยๆ ดูเป็นสาวผู้ดีอังกฤษมาก

7. ไวด์เบอร์รี่สมูทตี้        ถ้าอยากกินเครื่องดื่มเย็นๆ ทั้งที ลองเปลี่ยนจากเมนูเดิมช็อกโกแลตปั่นแสนอ้วน เป็นเบอร์รี่สมูธตี้ ผลไม้จำพวกเบอรี่ที่มีทั้งวิตามินซี และสารโฟโตเคมีที่ช่วยป้องกันมะเร็งได้ ถ้าจะให้ดีเลือกเบอร์รี่ตระกูลสีเข้ม อย่างบลูเบอร์รี่ หรือราสเบอร์รี่จะช่วยเพิ่มแอนติออกซิแดนท์ได้มากกว่า

8. แอปเปิ้ลเขียววันละลูก        “An apple a day keeps the doctor away”  แอปเปิ้ลเขียวแคลอรี่ต่ำ วิตามินซีสูง

9. เบบี้แครอท        แครอทจิ๋วสุดฮิตนาทีนี้ แช่เย็นไว้ แล้วเอามาแทะเล่นในออฟฟิศ กรอบอร่อย อุดมไปด้วยสารแคโรทีนอยด์ ทำให้ผิวสวยปิ๊ง

10. องุ่น +โยเกิร์ต +ซีเรียล      หั่นองุ่นเป็นครึ่งซีกแล้วแช่เย็นไว้ เอามาใส่โยเกิร์ตรสธรรมชาติโลว์แฟลต โรยด้วยซีเรียลรสที่ชอบ ได้เมนูตอนเช้าสุดอินเตอร์ทันที

11. เมล็ดฟักทอง         ที่เรารู้จักกันตั้งแต่เด็กนี่ล่ะ ตอนนี้กำลังอินในหมู่นักโภชนาการเมืองนอก เพราะเขาว่ามีแร่ธาตุสังกะสีสูงที่สุดที่เคยพบ ลองหาซื้อเมล็ดฟังทองอัดทางมากินเก๋ๆ มีประโยชน์ด้วย

12. น้ำเปล่าหนึ่งขวด         หาขวดน้ำประจำตัวและติดรถไว้ตลอดที่เราจะสามารถจิบน้ำเปล่าได้ทุกเวลา เลิกซื้อขวดน้ำพลาสติกที่ดูไม่รักโลกแล้วยังเปลือง หาขวดน้ำที่มีคุณภาพดี โดนแดดไม่มีสารพิษ ลองยี่ห้อนี้ Sigg เมดอินสวิตเซอร์แลนด์

13. เมล็ดทานตะวัน       เหมือนเมล็ดฟักทองเปี๊ยบ แต่อุดมไปด้วยโปรตีน และไขมันที่ไม่อิ่มตัวสูง นักโภชนาการบอกว่าเมล็ดฟักทองช่วยขจัดความอ่อนเพลีย ความเหนื่อยล้า และความเครียดได้

14. กล้วยหอม +ชีส       เมนูของว่างนี้ขอนำเสนอ หั่นกล้วยหอมและเชดด้าชีแบบแท่งออกเป็นแว่นๆ เอาชีสหนึ่งแว่นวางบนกล้วยหอมหนึ่งงาน ไม่จิ้มฟันเสียบตรงกลาง ทำเต็มจานพร้อมเสิร์ฟได้เลย กล้วยหอมให้พลังงานที่ร่างกายเอาไปใช้ได้ทันที อย่างกลูโคส ซูโครส และฟรักโทส และมีกรดอะมิโนที่ร่างกายเอาไปเปลี่ยนเป็นเซโรโทนิน ทำให้จิตใจร่าเริงผ่อนคลายมากขึ้น และในชีสมีแคลเซียมสูงป้องกันโรคกระดูกพรุน

15. ซัลซ่าซอส      อาหารเม็กซิกันเผ็ดร้อนที่เอาไว้ดิปกับแผ่นแป้งข้าวโพด หรือมันฝรั่งทอดกรอบ และเครื่องเทศ ล้วนแต่เป็นสมุนไพรดีกับเราทุกอณู ซื้อซัลซ่าแบบกระปุกไว้ จิ้มกับอะไรก็ได้ หรือจะลองทำเอง ซื้อซอสมะเขือเทศ หอมใหญ่ น้ำมันมะกอก ใบออริกาโน่ เวเนก้า และพริกป่นเม็กซิกัน มาปั่นรวมกัน ใส่กระปุกเก็บไว้ในตู้เย็น เริ่ดที่สุด

16. ขนมปังขาว       ขนมปังขาวนอกจากจะไม่ได้ไฟเบอร์แล้วมีแต่คาร์โบไฮเดรตแล้ว การซื้อขนมปังข้าวโอ๊ตหรือขนมปังธัญพืชแทนยังดูเฮลธ์ตี้กว่าด้วย ไปซุปเปอร์มาร์เก็ตคราวหน้าลองหยิบขนมปังข้าวโอ๊ตก้อนใหญ่ ถ้ากินไม่หมด เอามาแช่ช่องฟรีซไว้ แล้วหั่นสไลด์เอง ออกมาอบ กินทีละแผ่น ประหยัดและได้คุณค่า

17. Movenpick สุดยอดไอศกรีมซุปเปอร์พรีเมี่ยมที่สุดในโลกนาทีนี้ วัตถุดิบดีๆ วานิลลาชั้นเลิศ จะกินของหวานทั้งที ขอเริ่ดที่สุด

18. บิสกิต +น้ำผึ้ง      เลือกบิสกิตแบบโฮลเกรน กับน้ำผึ้งของไทยหนึ่งกระปุก ตักแบ่งใส่ถ้วยเล็ก แล้วเอาบิสกิตจุ่มน้ำผึ้งกิน อร่อยมาก กินกับโยเกิร์ตหรือนมสดก็ได้ ทั้งบิสกิตและน้ำผึ้งแท้ ให้พลังงานสูง

19. พายกรอบงาดำ      ขนมพายกรอบไว้กินกับกาแฟตอนบ่าย ลองเลือกแบบที่มีส่วนผสมของงาขาวหรืองาดำ ในงาดำมีสารช่วยลดโคเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันเกร็ดเลือดแข็งตัว และหลอดเลือดหัวใจตีบ ในงาขาวมีแคลเซียมสูง วิตามินบี 6 และไฟเบอร์

20. ซีเรียลบาร์      ในซีเรียลบาร์หนึ่งแท่ง มีธัญพืชมากกว่า 5 ชนิด ที่ดีต่อร่างกาย ยิ่งเลือกแบบผสมผลไม้ ได้สารอาหารทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไฟเบอร์ และวิตามิน ที่สำคัญไม่มีอาหารเช้า หรือของว่างตอนบ่ายอะไรจะสะดวกเท่าการฉีกซองแล้วกัดได้เลย แถมอัพลุคสาวๆ ให้ดูคูลขึ้นมาได้

21. ลูกเกด      กินลูกเกดวันละ 1 กำมือเล็กๆ ได้ไฟเบอร์ และโปแทสเซียมเต็มๆ ช่วยการทำงานของหัวใจ และลดฮอร์โมนความเครียดด้วย

22. เสาวรสอบแห้ง     ในเสาวรสมีไฟเบอร์ที่เหมาะสำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดน้ำมูก และเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงมาก เพื่อให้ได้ทั้งไฟเบอร์เต็มที่ลองหาซื้อเสาวรสอบแห้งแบบที่มาทั้งเปลือก รับรองแจ๋วสุดๆ

23. อัลมอนด์ +พิสตาชิโอ +แมคคาเดเมีย     เก็บถั่วลิสงไปให้ไกลมือ แล้วซื้ออัลมอนด์  พิสตสชิโอ หรือ แมคคาเดเมีย ถั่วอะไรก็ได้ที่ดูอินเตอร์  ใส่กระปุกแก้วแล้ววางไว้บนโต๊ะทำงาน ถ้าซื้อที่เมืองไทยมันแพง ลองฝากเพื่อนซื้อจากออสเตรเลีย ซื้อทีหนึ่งกินได้นานเลย อัลอมนด์ แค่ 1 ออนซ์ หรือประมาณ 5 -6 เม็ด มีวิตามินอีมากพอที่เราต้องการหนึ่งวันเต็ม  พิสตสชิโอ มีสารออกซิแดนท์สูงมาก แมคคาเดเมีย ไม่ได้มีไขมันสูงอย่างที่ใครๆ เข้าใจ ความจริงแล้ว 78% เป็นไขมันที่จะช่วยลดโคเลสเตอรอล และช่วยเรื่องโรคหัวใจได้นะ

24. ทับทิม        ลองแกะเม็ดทับทิบใส่ท็อปเปอร์แวร์แช่เย็น แล้วพกไปออฟฟิศไว้นั่งกินเล่น เมืองนอกเข้าเรียกทับทิมบ้านเราว่าเป็นซุปเปอร์ฟรุต คือจะชะลอความแก่ลงลึกถึงระดับดีเอ็นเอ มีผลการศึกษาว่ากินทับทิมสกัดแบบแคปซูลวันละเม็ด จะช่วยเพิ่มสารเคมีในร่างกายที่ชะลอการถูกทำลายของผิวสาวๆ ได้

25. ทูน่า   สาวๆที่ชอบออกกำลังกาย การกินทูน่ากระป๋องดีๆ ช่วยเพิ่มระดับเมตาบอลิซึ่มได้ 8.5 %

26. น้ำขิง       มีผลสำรวจจากนักวิทยาศาสตร์ในซาอุดิอาระเบียพบว่า กินขิงวันละช้อนชาตลอด 45 วัน ช่วยตัด LDL โคเลสเตอรอลให้หมดไปได้ทันที ลองกินขิงผงชงน้ำร้อนเอาก็ได้ ง่ายและอร่อย

27. แอปริคอทอบแห้ง       นอกจากการกินแอปริคอทอบแห้งจะดูเริ่ดกว่าการกินมะม่วงดองแล้ว แอปริคอทยังช่วยการทำงานของไตเราด้วย

28. ลูกเดือยอบกรอบ       ซื้อเข้าไปกินแทนป๊อบคอร์นเวลาดูหนังบ้าง ลูกเดือนมีวิตามินสูงแก้เหน็บชาได้ เดี๋ยวนี้นอกจากในน้ำเต้าหู้ ลองหาลูกเดือยอบกรอบได้ตามซุปเปอร์มาเก็ตชั้นนำ


ที่มา : Cleo

7 สิ่งที่ทำให้คุณมีผิวสุขภาพดีตลอดปีตลอดชาติ

เราทุกคนต้องการให้ผิวสุขภาพดีและดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ แต่คุณรู้ไหมว่า ในแต่ละวันผิวของคุณต้องการอะไรบ้าง บางทีผลิตภัณฑ์เสริมความงามบางอย่างที่คุณใช้เพื่อให้ผิวสุขภาพดี มันก็ไม่ได้เหมาะกับผิวของคุณไปซะทุกอย่าง หรือบางทีมันก็ไม่ได้ช่วยทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นมาได้เลย วันนี้เราเลยมีวิธีช่วยคุณดูแลตัวเองให้ผิวสุขภาพดี หากคุณได้รู้ว่าผิวของคุณต้องการอะไร คุณก็จะสามารถดูแลผิวสุขภาพดีได้อย่างง่ายและยาวนาน
18
1. การพักผ่อนและผ่อนคลาย
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผิวสุขภาพดีขึ้นได้และคุณต้องการในทุกๆ วัน คือมีเวลาผ่อนคลาย หรือพักผ่อนบ้าง อย่าให้ผิวของคุณต้องโดนเครื่องสำอางทั้งวัน รับรองว่าผิวของคุณทนรับไม่ไหวอย่างแน่นอน การนอนหลับ การอาบน้ำ ก็จะช่วยให้ผิวของคุณผ่อนคลายได้แล้ว
2. การออกกำลังกาย
คุณอาจจะคิดว่าการออกกำลังกายอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการดูแลผิว แต่การออกกำลังกายจะทำให้ผิวสุขภาพดีอย่างแน่นอน เพราะเลือดในร่างกายของคุณจะสูบฉีดได้ดี ทำให้ผิวสุขภาพดีสดใส เปล่งปลั่ง คุณไม่จำเป็นต้องออกกำลังอย่างหนัก แค่วันละนิดหน่อย ก็ช่วยดูแลผิวของคุณได้แล้ว
3. น้ำ
หากคุณไม่เคยรู้เลย ว่าน้ำนั้นสามารถช่วยดูแลผิวให้คุณได้  เพราะมันจะทำให้ผิวสุขภาพดีอ่อน นุ่มและเรียบ  การกินกาแฟทุกวันหรือแอลกอฮอล์สามารถทำให้ผิวของคุณแห้งได้ เตือนตัวเองให้ดื่มน้ำตลอดทั้งวัน มันจะไปช่วยเติมเต็มเซล์ผิวและเนื้อเยื้อของคุณได้
4. ทำความสะอาด
การทำความสะอาดผิวของคุณเป็นส่วนหนึ่งในการทำให้ผิวสุขภาพดี แต่การทำความสะอาดก็ควรทำอย่างพอดี นั้นคือหนึ่งครั้งในตอนเช้า และอีกครั้งในตอนเย็นเท่านั้น ที่สำคัญล้างสิ่งสกปรกออกไปให้หมดเพื่อความสะอาดของผิวของคุณเอง
5. สารต้านอนุมูลอิสระ
สารต้านอนุมูลอิสระเป็นการดูแลผิวสุขภาพดีอีกอย่างที่จำ เป็น เราจำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่สารต้านอนมูลอิสระ รวมถึงการกินอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเพื่อปกป้องผิวของเรา เพราะสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยซ่อมแซมผิวและบำรุงผิวสุขภาพดี รวมถึงชะลอกระบวนการชรา  มองหาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีสารต้านอนุมูลอิสระเช่น Moisturizer หรือกินอาหารที่มีประโยชน์ เช่นผัก ผลเบอร์รี่ หรือแครอท
6. อาหารเพื่อสุขภาพ
อาหารเพื่อสุขภาพเป็นสิ่งสำคัญสำหรับจิตใจและร่างกาย เพราะสิ่งที่เรากินจะมีผลโดยตรงต่อผิวของเรา นอกจากการรับประทานอาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระแล้ว เรายังต้องการวิตามิน เกลือแร่ และกรดไขมันที่จำเป็น สารอาหารเหล่านี้ช่วยให้ผิวสุขภาพดีคงความชุ่มชื้น และป้องกันความเสียหายของเซลล์ผิว อาหารที่มีสารเหล่านี้ เช่น ปลา ถั่วเขียว และผัก
7. จำกัดการโดนแสงอาทิตย์
แม้ว่าบ้านเราจะเคยชินกับแสงอาทิตย์แล้ว แต่จำไว้ว่ารังสียูวีที่ออกมาจากดวงอาทิตย์ไม่ได้มีประโยชน์ตลอดเวลา เราควรรับรังสีแค่ในช่วงตอนเช้าเท่านั้น คุณควรจะมีการป้องกันด้วยการทาครีมกันแดด และไม่ออกจากบ้านเมื่อไม่จำเป็น หรือใช้เวลาไม่นานมากนักในการตากแดด
ตอนนี้คุณก็รู้วิธีการดูแลผิวสุขภาพดีในแต่ละวันแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะช่วยดูแลผิวของคุณเท่านั้น แต่ยังคงช่วยรักษาผิวสุขภาพดีของคุณ และถ้าคุณสร้างนิสัยทำสิ่งเหล่านี้ได้ทุกวัน รับรองว่าผิวสุขภาพดีของคุณต้องสวย อ่อนเยาว์ เรียบเนียบอย่างแน่นอน
ที่มา : Allwomentalks

ทางเลือกใหม่การลดน้ำหนักโดยใช้ความหวานแทนน้ำตาล

น้ำตาลถ้าเราบริโภคแต่พอดี มันก็จะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แล้วยังทำให้อาหารที่เราทานเข้าไปมีรสชาติอร่อยอีกด้วย แต่ถ้าเราทานมาเกินไปนั้น รับรองว่าไม่เกินผลดีต่อสุขภาพของเราอย่างแน่นอน อาหารที่คุณรับประทานเข้าไปทุกวันนี้ส่วนมากจะเป็นน้ำตาลทรายขาวที่ผ่านก่อน ขัดมาแล้ว หากคุณทานมากเกินไปจะทำให้เกิดริ้วรอยก่อนวัย และยังทำให้เป็นโรคอ้วน น้ำหนักเกิน อีกด้วย แต่จริงๆแล้วมีทางเลือกอีกมากมาย ที่เราจะแนะนำ เป็นความหวานจากธรรมชาติหวานแทนน้ำตาล ที่มาพร้อมกับประโยชน์ต่อร่างกาย หากคุณเสพติดน้ำตาลละก็ ลองใช้ 10 สารให้ความหวานแทนน้ำตาลดีกว่า
1
1. น้ำผึ้งดิบให้ความหวานแทนน้ำตาล
หนึ่งในสารให้ความหวานแทนน้ำตาลจากธรรมชาติที่ดีที่สุดที่ จะมาแทนที่น้ำตาล นั้นคือ น้ำผึ้งดิบ น้ำผึ้งเป็นยาต้านจุลชีพ แบคทีเรีย และยังป้องกันเชื้อรา น้ำผึ้งอาจจะไม่ดีตรงที่ที่แคลอรี่มาก แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องความหวานมันให้โทษน้อยกว่าน้ำตาลอย่างแน่นอน น้อยคนนักที่จะเห็นประโยชน์ของมัน แต่เชื่อเถอะว่า มันมีประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
2
2. นมหรือครีมจากธรรมชาติให้ความหวานแทนน้ำตาล
หากจะพูดถึงเรื่องการดื่มกาแฟ เราสามารถใช้นมหรือครีมแทนการใช้น้ำตาลได้ด้วย มันสามารถตัดความขมของกาแฟที่มี  แต่หากอยากมีสุขภาพดีขึ้นไปอีก ลองใช้นมถั่วเหลืองชนิดไม่หาน หรือนมอัลมอนด์ รับรองว่าคุณจะได้รับการดูแลเรื่องแคลเซียมอีกด้วย
3
3. น้ำเชื่อมเมเปิ้ลดิบให้ความหวานแทนน้ำตาล
มันไม่ได้ใช้ได้กับแค่แพนเค้กเท่านั้น ความหวานของมันสามารถเอาไปทำขนมอบต่างๆ หรือเอาไปใส่ในกาแฟในยามเช้าของคุณได้อีกด้วย ด้วยความที่มันมีแคลอรี่น้อย และมีแร่ธาตุมากกว่าน้ำผึ้ง แถมยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ รับรองว่าหวานแทนน้ำตาลและมีประโยชน์กว่าน้ำตาลแน่นอน
4
4. แครอทขูดให้ความหวานแทนน้ำตาล
หากครั้งต่อไปที่คุณจำทำพาสต้า  ลองใส่แครอทขูดลงไปให้ความหวานแทนน้ำตาล มันเป็นน้ำตาลจากธรรมชาติโดยแท้ รับรองว่าได้รับในปริมาณที่เหมาะสมแน่ๆ วิธีง่ายๆ ก็คือหั่นแครอทเป็นชิ้นเล็กๆ หรือเอาแครอทมาคั้นน้ำก็ได้ และยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยนะ
5
5. หัวบีตรูทให้ความหวานแทนน้ำตาล
เดาได้เลยว่าคุณต้องคิดไม่ถึงเลยทีเดียว อันที่จริงหัวบีตหรือหัวผักกาดเป็นพืชที่ให้ความหวานชนิดหนึ่งเลย เอาหัวบีทขูดรับรองว่าจะให้รสหวานแทนน้ำตาลอย่างแน่นอน ครั้งต่อไปที่อยากทานน้ำปั่น ลองใช้หัวผักกาดหรือหัวบีตลงไปด้วย หรือหากจะทำเค้กช็อคโกแลตก็สามารถใส่ได้ รับรองว่าได้รับรสหวานอย่างไม่คาดคิดเลย สุขภาพดี และลดความอ้วน น่าสนใจสุดๆ
6
6. หัวหอมเคี่ยวให้ความหวานแทนน้ำตาล
อาจจะดูแปลก แต่รู้ไหมคะว่าเจ้าหัวหอมเคี่ยวนี้มีน้ำตาลสูงมาก แม้ว่าหัวหอมจะเป็นผักอย่างแท้จริง แต่มันสามารถให้ความหวานแทนน้ำตาลได้จริงๆทั้งยังช่วยเผาผลาญ ลองใช้หัวหอมเคี่ยวปรุงรสชาติหวานแทนน้ำตาล เหมือนใส่ซอสดูซิคะ รับรองจะติดใจ
7
7. น้ำส้มคั้นสดให้ความหวานแทนน้ำตาล
น้ำสลัดเป็นที่อยู่แหล่งใหญ่ของน้ำตาลเลย ดังนั้นหากคุณจะหลีกเลี่ยงน้ำสลัด ลองทำด้วยตัวเองซิ ใช้น้ำมันมะกอก น้ำมะนาว และน้ำส้มคั้นสด ผสมกัน รับรองว่าเป็นน้ำสลัดที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลได้อย่างอร่อยเลยทีเดียว ที่สำคัญยังช่วยให้วิตามินซีให้กับคุณอีกด้วย มีประโยชน์ต่อสุขภาพเห็นๆ
8
8. เกลือให้ความหวานแทนน้ำตาล
งงเลยละซิ เกลือถือเป็นสารให้ความหวานแทนน้ำตาลที่มาจาก จากธรรมชาติอีกชนิดหนึ่ง ลองคิดถึงตอนกินผลไม้เปรี้ยวแล้วจิ้มเกลือซิ หวานใช่ไหมละ เกลือมีคุณสมบัติที่มีรสชาติของมันเอง และยังสามารถดึงรสชาติของอาหารอื่นๆ ให้ออกมาได้อีกด้วย และยังลดความขมของอาหารบางชนิด รวมทั้งช็อคโกแลตด้วย
9
9. หญ้าหวาน
หากเจอภาวะเรื่องน้ำตาลที่ไม่รู้จะใช้อะไรดี นี่เลยรับรองว่าให้ความหวานแทนน้ำตาลได้แน่นอน แถมยังไม่ก่อให้เกิดโรคต่างๆ แล้วหญ้าหวานยังเป็นสมุนไพรจากธรรมชาติ รับรองว่าดีต่อสุขภาพของคุณอย่างแน่นอนเลย
การเลิกกินน้ำตาลอาจจะแก้ปัญหายาก แต่เพื่อสุขภาพนั้นการลดนั้นง่ายกว่าการเลิกอย่างแน่นอน เหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ให้ความหวานแทนน้ำตาลได้ แล้วยังไม่เกิดความเสียหายต่อร่างกายด้วย และช่วยลดน้ำหนักได้อย่างดี
ที่มา : Allwomenstalk