วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

สมุนไพร ไขมัน และทางรอด

สมุนไพร ไขมัน และทางรอด
     พอเริ่มเป็นสาว ผู้หญิงทุกคนต่างมีปัญหาความงามร้อยแปดประการให้ต้องขบคิด แต่ที่รบกวนจิตใจและกินพื้นที่สมองมากที่สุดเห็นจะไม่พ้นเรื่องความอ้วน เพราะเป็นตัวการบั่นทอนความงามอย่างร้ายกาจ(ตามค่านิยมของสาวยุคนี้)
     อีกทางเลือกหนึ่งของสาวเจ้าเนื้อ เพื่อลดน้ำหนัก     เรามาทำความรู้จักกับสมุนไพรเหล่านี้ให้มากกว่าที่เคยได้ยินจากโฆษณา เพื่อประกอบการตัดสินใจเลือกใช้กันดีกว่าค่ะ
     หัวบุก - หรือคอนยัค(konjak) เป็นพืชล้มลุกที่มีหัวอยู่ใต้ดิน สามารถเอามาทำอาหารได้สารพัด อุดมไปด้วย "กลูโคแมนแนน" ไม่ให้พลังงานและยังมีคุณสมบัติพองตัวในน้ำได้มากถึง 50 - 60 เท่า
     เชื่อว่าบุกสามารถลดการดูดซึมโคเลสเตอรอลและน้ำตาลบางส่วนที่มีมากเกินความ ต้องการของร่างกายได้ ทั้งยังกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ให้เคลื่อนไหว ขับอุจาระที่ตกค้างและขจัดสารพิษหรือแก๊สออกจากร่างกายได้เร็วขึ้น ป้องกันการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้
     แต่เห็นสรรพคุณดีเลิศขนาดนี้อย่าเพิ่งเชื่อสนิทใจค่ะ เพราะขณะเดียวกันก็มีการพิสูจน์วิจัยหลายชิ้นที่พบว่า กลูโคแมนแนนช่วยลดความอ้วนได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น เพราะเจ้าไฟเบอร์นี้สามารถพองตัวอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลาเพียงครึ่ง ชั่วโมง ชั่วเวลาสั้น ๆ นี้เองจึงทำให้คุณรู้สึกอิ่มและหนักท้องได้ไม่นานก็จะกลับมาหิวอีก
     การกินบุกโดยไม่กินอาหารอย่างอื่นเลยติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ นั้น อาจทำให้ร่างกายขาดวิตามินและสารอาหารบางอย่าง โดยเฉพาะพวกที่ละลายในไขมัน ได้แก่ วิตามินเอ ดี อี เค และแคโรทีนอยด์ประเภทเบต้าแคโรทีน  เพราะเมื่อกลูโคแมนแนนไปดูดซึมไขมันเอาไว้จึงไม่มีตัวทำละลาย ร่างกายก็จะดูดซึมสารอาหารเหล่านี้ไปใช้ได้ไม่เต็มที่ อีกทั้งสารสกัดจากบุกชนิดแคปซูลยังเป็นอันตรายอย่างมากด้วย เพราะหากแคปซูลเข้าไปติดอยู่ในทางเดินอาหาร มันก็จะพองตัวทำให้ทางเดินอาหารอุดตัน อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
      
     แมงลัก - เมล็ดแมงลักที่แช่น้ำจนพองตัวเต็มที่แล้วจะมีเมือกลื่น ๆ เกาะอยู่ ร่างกายไม่สามารถย่อยเมล็ดแมงลักได้ เมื่อกินเข้าไปทำให้รู้สึกอิ่ม ขับถ่ายออกมาอย่างรวดเร็วและบรรเทาอาการท้องผูกได้ดี แต่ก็เช่นเดียวกับบุก เมล็ดแมงลักสามารถอยู่ในกระเพาะอาหารของเราได้ไม่นาน ทำให้หิวได้อีกเรื่อย ๆ
     ถึงแม้ว่าเมล็ดแมงลักจะไม่ไปขัดขวางการดูดซึมสารอาหารของร่างกาย เป็นอาหารพลังงานต่ำจากธรรมชาติที่ค่อนข้างปลอดภัย แต่ถ้ากินเมล็ดแมงลักเพียงอย่างเดียวโดยไม่กินอาหารอย่างอื่นเลยก็มีสิทธิ์ เป็นโรคขาดสารอาหารได้ทั้ง ๆ ที่รูปร่างอ้วนท้วนนี่แหละ
     ควรกินเมล็ดแมงลักก่อนอาหารกลางวันหรือเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง อัตราส่วนในการกินคือ เมล็ดแมงลัก 2 ช้อนชา ต่อน้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง ต้องล้างเมล็ดแมงลักให้สะอาดเสียก่อนโดยเฉพาะฝุ่นละอองและเศษกิ่งไม้ใบไม้ แห้ง จากนั้นแช่เมล็ดแมงลักในน้ำประมาณ 10 - 15 นาที สังเกตว่าพองเต็มที่แล้วจึงจะกินได้ หลายคนผสมน้ำหวานลงไปด้วยเพื่อให้อร่อยและกินง่ายขึ้น แต่วิธีกลับเป็นการเพิ่มน้ำตาลให้ร่างกายโดยใช่เหตุ

 
     ส้มแขก - เป็นผลไม้ที่มีมากในแถบเอเชีย มีขนาดเท่ามังคุดแต่รูปร่างคล้ายฟักทอง คนภาคใต้ของเรารู้จักดีเพราะเอามาปรุงอาหารให้รสเปรี้ยวเข็ดฟัน ปรกติผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวแบบนี้จะมีกรดซิตริกเป็นองค์ประกอบ แต่ส้มแขกมีกรดซิตริกชนิดพิเศษกว่าผลไม้เปรี้ยวชนิดอื่น ชื่อว่าไฮดรอกซีซิตริก(HCA)ในปริมาณสูง
     เชื่อว่ากรดผลไม้ HCA ในส้มแขกสามารถยับยั้งการทำงานของเอมไซน์ซึ่งทำหน้าที่สังเคราะห์กรดไขมัน และคอเลสเตอรอล เมื่อเอมไซน์ตัวนี้ทำงานไม่ได้ ไขมันและคอเลสเตอรอลก็จะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ยิ่งกว่านั้นยังลดระดับลงด้วย
      ยังไม่หมดเท่านั้น HCA ยังสามารถขัดขวางการเปลี่ยนแป้งและน้ำตาลกลูโคสให้เป็นไขมันสะสม บ้างก็เชื่ออีกว่าเมื่อกินสารสกัดจากผลส้มแขกเข้าไปจะทำให้ไม่รู้สึกหิว กินอาหารได้น้อยลง
      จากกิตติศัพท์ทั้งหมดนี้ ส้มแขกน่าจะเป็นสมุนไพรวิเศษที่ช่วยลดความอ้วนได้ แต่ผลการวิจัยบางตัวกลับออกมาว่า กลุ่มคนที่กินแป้งเปล่าสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่กินส้มแขกเสียอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะ  HCA จะออกฤทธิ์ได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้มข้นสูงมาก ๆ จึงจะได้ผล ดังนั้นการนำผลส้มแขกมาทำอาหารหรือดื่มผลิตภัณฑ์น้ำส้มแขกแทนน้ำเปล่าไม่ สามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้แต่อย่างใด
    
     ไคโตซาน - ไม่เฉพาะพืชเท่านั้นที่มีเส้นใยอาหาร เปลือกของกุ้งและกระดองปูก็จัดเป็นเส้นใยอาหารชนิดหนึ่ง ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายได้ เมื่อนำเส้นใยเหล่านี้มาสกัดจะได้สารไคโตซาน(Chitosan)ซึ่งมีโครงสร้างที่ แข็งแกร่งและสามารถจับกับประจุลบได้ มันจึงมีคุณสมบัติคล้ายตาข่ายคอยดักจับโมเลกุลไขมันและคอเลสเตอรอลบางส่วน ไว้ ก่อนที่จะถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย จากนั้นทั้งไคโตซาน ไขมัน และคอเลสเตอรอลก็ถูกขับออกมาพร้อมอุจจาระ โดยไม่ทิ้งพลังงานไว้ให้เลย
     หากเป็นดังที่ว่าจริงก็คงจะดีไม่น้อย แต่จากผลการวิจัยหลายชิ้นไม่ได้ออกมาสวยหรูอย่างนี้ การทดลองในผู้หญิงอ้วน 51 คน พบว่าอัตราการลดน้ำหนักของกลุ่มที่กินไคโตซานไม่มีความแตกต่างจากกลุ่มที่ กินยาหลอกเลย  แต่อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการลดคอเลสเตอรอลพบว่าไคโตซานสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดเลว(LDL) ได้
     ข้อควรระวังในการกินก็คือ ไคโตซานดูดซับไขมันไม่เลือกชนิด ดังนั้นไขมันที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย วิตามินที่ละลายตัวในไขมันอย่างวิตามินเอ ดี อี เค เบต้าแคโรทีน และแคลเซียมก็พลอยอันตรธานไปด้วย นอกจากนี้ไคโตซานยังละลายน้ำได้ค่อนข้างยาก และต้องใช้เวลานานกว่าจะทำหน้าที่ดูดซับไขมันได้ ดังนั้นควรกินก่อนหรือหลังอาหารกลางวันหรือเย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมงเพื่อไม่ให้สารอาหารถูกไคโตซานดูดซับไปหมด ในปริมาณแนะนำ 1,000 - 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน และกินน้ำตามให้มาก ๆ เพราะต้องไม่ลืมว่าเส้นใยอาหารโดยทั่วไปรวมทั้งไคโตซาน สามารถพองตัวในน้ำได้หลายเท่า หากดื่มน้ำน้อยจะทำให้ท้องผูกหรืออึดอัด แน่นท้อง และอาจร้ายแรงถึงขั้นทางเดินอาหารอุดตันเลยทีเดียว

     มะขามแขก - แนวคิดในการลดความอ้วนอีกอย่างคือการถ่ายท้อง เมื่อกินอะไรเข้าไปก็เร่งถ่ายออกมาให้หมด ในเมื่อร่างกายไม่ทันได้ดูดซึมแป้งหรือไขมันก็จะไม่อ้วน
     มะขามแขกถูกนำมาใช้เพื่อการนี้เพราะมีสรรพคุณเป็นยาระบาย เนื่องจากมีจุลินทรีย์ในทางเดินอาหารจะเข้าไปย่อยสลายสารเซนโนไซด์เอและบี จนแตกตัวเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งซึ่งจะไปกระตุ้นการบีบตัวของกล้ามเนื้อลำไส้ ใหญ่ ทำให้รู้สึกปวดท้องอยากถ่าย แต่นับว่าอันตรายไม่ใช่เล่น เพราะคนมักเข้าใจผิดจึงโหมกินยาระบายวันละหลาย ๆ รอบ เมื่อเสียน้ำจากการถ่ายมาก ๆ ร่างกายก็จะทรุดโทรม อ่อนเปลี้ยเพลียแรง อาจถึงกับช๊อกจนเสียชีวิต และถ้าใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน จะทำให้ลำไส้ใหญ่เคยชิน วันไหนไม่มีอะไรมากระตุ้นก็จะไม่ถ่ายเอาซะดื้อ ๆ            
     การกินสมุนไพรมะขามแขกในรูปชาชง ชนิดเม็ด หรือชนิดแคปซูลก็ดี ถ้ากินปริมาณพอเหมาะระหว่าง 10 - 60 มิลลิกรัม เพื่อช่วยแก้ปัญหาท้องผูกถือว่าไม่เป็นอันตรายอย่างใด แต่ที่ต้องทำความเข้าใจกันใหม่คือยาระบายเหล่านี้ไม่ช่วยให้ลดความอ้วนได้ เลย เพราะที่ถูกขับออกมานั้นเป็นกากอาหารและน้ำในร่างกายจึงทำให้น้ำหนักลดลง ส่วนไขมันเจ้าปัญหายังวนเวียนอยู่ในตัวเราไม่ได้ถูกระบายไปพร้อมกับของเสีย ด้วย
                           
     ที่น่ากลัวคือ คนที่กินยาสมุนไพรลดความอ้วนมักย่ามใจ คิดว่ามีบุกช่วยให้อิ่มท้อง มีไคโตซานไว้คอยจับไขมัน มีส้มแขกไว้สลายไขมัน และมะขามแขกช่วยถ่ายท้องแล้ว คงไม่ต้องออกกำลังกายให้เหนื่อยและกินอะไรก็ได้ที่อยากกิน... รับรองว่าถ้าคิดอย่างนี้ไม่มีทางหลุดจากวงจร yo - yo effect ได้แน่นอน 




คอลัมน์ Beauty นิตยสาร Health & Cuisine ปีที่ : 3 ฉบับที่ : 29 เดือน : มิถุนายน 2546

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น